1. ที่เห็นนี้เป็นแผ่น 10″ MG 15000และ 12″ MG 10000 LONG PLAYING MICROGROOVESeries. เลเบลนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1949 จนถึงปี 1960. พื้นฉลากสีดำ ตัวพิมพ์สีขาวออกเหลืองในระยะแรก ต่อมาตัวพิมพ์เป็นสีเงิน
อัลบัมแรกใน series คือ
MG 10,000 Khachaturian, Aram.Concerto for Violin and Orchestra in D Major (1940). David Oistrakh, violin. USSR State Philharmonic Orchestra. Alexander Gauk, conductor. 12″ released October 1949. List price $4.85.
MG 15,000 Strauss, Richard.Don Juan, Op. 20 1888.Tchaikovsky, Peter Ilyich.1812 Overture. Amsterdam Concertgebouw Orchestra. Willem Mengelberg, conductor. 10″ released October 1949. List price $3.85.
2. เลเบลต่อมาเป็น MG 50000 OLYMPIAN SERIES HIGH FIDELITYหรือ MICROGROOVE ใช้ในปี 1951 จนถึงปี 1957 แรกสุดพื้นฉลากเป็นสีดำ ตัวพิมพ์ทั้งหมดเป็นสีเงิน รุ่นต่อมาในราวปี 1952 จะเป็นฉลากสีแดงน้ำหมากหรือ maroon-red label ตัวพิมพ์สีเงิน แบบดีไซน์จะแตกต่างเล็กน้อยตรงมีคำว่า HIGH FIDELITYจะพิมพ์แทนที่ในตำแหน่งของคำว่า MICROGROOVE และมีข้อความ Living Presenceอยู่ด้านซ้ายของรูกลางแผ่นเสียง รุ่นนี้ได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในนาม Mercury Living Presence label.
อัลบัมแรกใน series คือ:
MG 50,000 Mussorgsky, Modest.Pictures at an Exhibition. Chicago Symphony Orchestra. Rafael Kubelik, conductor. Recorded April 2324, 1951; released November 1951. List price $5.95.
MG 40,000 Hanson, Howard.Songs from Drum Taps Op. 32 (1935).Thompson, Randall.Testament of Freedom (1943). Eastman Symphony Orchestra. Howard Hanson, conductor. Released November 1952, it became MG 50073 in February 1957. List price $4.98.
MG 80,000 Bartok, Bela.Sonata No. 2 for Violin and Piano (1922). Ravel, Maurice.Sonata for Violin and Piano (192327). Rafael Druian, violin. John Simms, piano. Released February 1955; in January 1957 it became MG 50089.
6. เลเบลในชุด MG 50000 OLYMPIAN SERIES LIVING PRESENCE. เป็นชุดที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมมาในภายหลัง โดยมีคำว่า LIVING PRESENCEมาแทนที่LONG PLAYINGเลเบลนี้ถูกใช้ในปี 1957 จนกระทั่งเลิกใช้ไปเมื่อหยุดการบันทึกแบบ monaural ในปี 1969. พื้นเลเบลเป็นสีแดงน้ำหมากหรือ deep maroon-red ตัวพิมพ์ทั้งหมดสีเงิน แต่ยังมีเลเบลต่อมาของยุคนี้โดยมีพื้นฉลากสีออกน้ำตาลแดงอ่อน ซึ่งคุณภาพไม่ดี มักจะมีเสียงรบกวนจากผิวแผ่น
7. มาถึงเลเบลชุด SR 90000STEREO LIVING PRESENCE Series. ใช้ในปี 1958 จนกระทั่งถึงปี 1969. พื้นเลเบลเป็นสีแดงน้ำหมากหรือ deep maroon-red ตัวพิมพ์ทั้งหมดสีเงิน แต่ยังมีเลเบลต่อมาของยุคนี้โดยมีพื้นฉลากสีออกน้ำตาลแดงอ่อน ซึ่งคุณภาพไม่ดี มักจะมีเสียงรบกวนจากผิวแผ่น
อัลบัมแรกใน series คือ:
SR3 9,000 Cherubini, Luigi.Medea. Maria Callas, Mirto Picchi, Renata Scotto, Giuseppe Modesti, Mirium Pirazzini, Lidia Marimpietri, Elvira Galassi, Alfredo Giacommotti, soloists. Orchestra and Chorus of La Scala. Norberto Mola, director. Tullio Serafin, conductor. Released November 1958.
SR 90,001 Bizet, Georges.Carmen Suite. L’Arlesienne Suite (1872). Detroit Symphony. Paul Paray, conductor. Released November 1958. List price $5.95.
8. เลเบลชุดSR 90000 STEREO LIVING PRESENCE VENDOR MERCURY RECORD CORPORATIONSeries. ใช้ในช่วงสั้นๆระหว่างต้นปี 1960s ถึงปลายปี พื้นเลเบลเป็นสีแดงน้ำหมากหรือ deep maroon-red ตัวพิมพ์ทั้งหมดสีเงิน แต่ยังมีเลเบลต่อมาของยุคนี้โดยมีพื้นฉลากสีออกน้ำตาลแดงอ่อน ออกมาในกลางปี 1960 ซึ่งคุณภาพไม่ดี มักจะมีเสียงรบกวนจากผิวแผ่น ในยุคนี้ส่วนใหญ่ก็เป็ฯแผ่นทำใหม่จาก Remastering
9. เลเบลนี้เป็น SR 90000 STEREO LIVING PRESENCE BROADCASTSeries. ใช้ในปี 1958 ถึงปลายปี 1960s. โดยมีข้อความพิมพ์ว่า VENDOR MERCURY RECORD CORPORATION เลเบลช่วงแรกพื้นสีทอง ตัวพิมพ์ทั้งหมดสีดำ เลเบลต่อมาจะมีสีพื้น น้ำเงินออกเขียวด้วยตัวพิมพ์สีเงิน หรือพื้นเป็นสีขาวหรือเหลืองด้วยตัวพิมพ์สีดำ ในทุกสีดังกล่าวจะมีข้อความ FOR BROADCAST ONLY NOT FOR SALEอยู่ใต้หมายเลขแผ่นแต่อยู่เหนือรูป Mercury’s head. โดยส่วนมากคุณภาพเสียงเหนือกว่าทั่วไป.
10. ยุคต่อมาก็เป็น LIVING PRESENCE BROADCAST OVAL LOGOSeries. จะมีรูปเครื่องหมาย Mercury อยู่ภายในวงรี โดยทั่วไปเลเบลยุคนี้เป็น stereo. ใช้ในต้นปี 1960s จนถึงปลายปี สีพื้นจะเป็นสีขาวหรือสีทอง หรือเหลืองซีด, น้ำเงินซีด, เขียวซีด,หรือชมพู ด้วยตัวพิมพ์สีดำ โดยมีข้อความต่างๆเช่น FOR BROADCAST ONLY · NOT FOR SALE · MERCURY RECORD CORP. · CHICAGO, ILL. · U.S.A. หรือ FOR BROADCAST ONLY · NOT FOR SALE ·VENDOR MERCURY RECORD CORPORATIONหรือ FOR BROADCAST ONLY · NOT FOR SALEพิมพ์อยู่ทางด้านซ้ายติดกับข้อความ MERCURY RECORD CORPORATIONที่อยู่ด้านขวา สำหรับแผ่น Monaural จะไม่คำว่า STEREOพิมพ์อยู่ใต้ โลโก้
ช่วงระหว่างตั้งแต่ปี 1958 ที่มีการแนะนำแผ่น Stereo ออกสู่ตลาด จนถึงปี 1960 นั้น RCA Victor ได้รับจ้างผลิตแผ่น Mercury Living Presence records โดยเป็น stamped อักษรนำหน้าเลขที่เป็น FR ตามด้วยตัวเลข mastering number, stamped record number และ mother indicator, อย่างเช่น A1 หรือ B1, และระหัสระบุสถานที่ผลิตด้วยอักษร I. แผ่นเหล่านี้จะเป็นแผ่นที่มีคุณภาพดี
ในช่วงกลางปี 1960s Columbia บริษั้ทแผ่นเสียงชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของอเมริกาก็เข้ามาเป็นผู้ผลิตให้กับ Mercury records บ้าง แผ่นอัลบัมเหล่านี้จะมีสลักระหัส CBFR, CTFR หรือ CCFR นำหน้าตามด้วย mastering number และเลขที่แผ่น (record number). แผ่นเหล่านี้มีปัญหาเช่นเดียวกับที่พบในการผลิตแผ่น Columbia Masterworks’ pressings. มีเสียงรบกวน (surface noise ) จำนวนมาก สาเหตุมาจาก vinyl ที่มีคุณภาพต่ำ และหยาบ
Columbia ยังเป็นผู้ผลิตแผ่นในช่วงสุดท้ายให้กับ Mercury records. ซึ่งแผ่นเหล่านี้จะมี ระหัสตัวอักษรที่เป็นตัวอักษรชนิดเดียวกันและขนาดเดียวกันกับที่ใช้ในการระบุแผ่นของ Columbia เอง โดยชุดนี้จะมีระหัสอักษร “M –“ และตามด้วยหมายเลขแผ่น เป็นแผ่นที่ให้เสียงทึบ
ผู้ร่วมก่อตั้ง Atlantic ขึ้นในปี 1947 ที่นคร New York คือ Ahmet Ertegun และ Herb Abramson และมีบริษัทในเครือคือ Atco และ Cotillion นอกนั้นยังมี Clarion ใช้เป็น label ของแผ่นเสียงราคาถูก แนวเพลงของค่ายนี้จะเป็น rhythm and blues, jazz, blues, country and western, rock and roll, gospel, และ comedy
Ahmet เข้าเรียนวิชาปรัชญาที่ St. Johns College จนกระทั่งจบปริญญาโท และทำงานที่ Georgetown ใน Washington, DC. เมื่อบิดาเสียชีวิตในปี 1944 แม่ และ พี่สาวก็กลับไปตุรกี พี่ชายย้ายไปอยู่ California ส่วนตัวเขายังอยู่ที่ Washington ป้วนเปี้ยนอยู่แถวร้านขายแผ่นเสียง Waxie Maxie กระหายที่จะเรียนรู้ธุรกิจการทำแผ่นเสียงอยู่ตลอดเวลา
Herb Abramson เกิดในปี 1917 เข้าเรียน high school ที่ Brooklyn เป็นนักสะสมแผ่น jazz และ blues ตัวยงอีกผู้หนึ่ง เขามีโอกาสได้ทำงาน part time ผลิตแผ่นเสียงให้กับ National Records ในขณะที่กำลังศึกษาทันตแพทย์อยู่ในมหาวิทยาลัย New York University เนื่องจากเป็นคนที่มีพื้นฐานของดนตรี jazz เขาจึงเริ่มจาก มองหาและปั้นศิลปินประเภทนี้ขึ้นมา ซึ่งมี Joe Turner และ Pete Johnson
เขาติดต่อเซ็นสัญญารับ Billy Eckstine ให้เข้าอยู่ในสังกัดของ National label และ ได้สร้างเพลง 2 เพลงเป็นเพลงฮิต ชื่อ “Prisoner of Love” และ “Cottage for Sale” นอกจากนั้นยังได้ปั้นดาวตลกผิวสีชื่อ Dusty Fletcher จนมีเพลงที่ฮิตคือ “Open the Door Richard” หลังจากที่อยู่กับค่าย National ได้ 2 ปี ก็ย้ายไปอยู่กับ Jubilee Record label ในเดือน พฤษภาคม ปี1946 แต่อยู่ได้แค่ช่วงสั้น ๆ ก็มีปัญหากับหุ้นส่วนใหม่ของที่นี่ ในที่สุดจึงลาออกมาในปี 1947
ส่วน Ahmet Ertegun ตัดสินใจที่จะเข้าไปทำธุรกิจผลิตแผ่นเสียง เขามองหาผู้ที่มีความรู้ทางด้านนี้มาร่วมงาน นึกถึง Herb Abramson จึงเดินทางไปพบที่ New York (Herb มีภรรยาแล้วชื่อ Miriam) ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 1947 Ahmet และ Herb ได้ร่วมกันก่อตั้ง Atlantic Records ด้วยเงินทุนของทันตแพทย์ชาวเตอรกีชื่อ Dr. Vahdi Sabit โดยมี Herb Abramson เป็นประธานบริษัท ส่วน Ahmet Ertegun เป็นรองประธาน
ค่อนข้างโชคดีที่นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เจ้าของเงินทุนไม่เคยกดดันให้ผู้ก่อตั้งทั้งคู่ต้องรีบทำกำไรนำเงินมาคืนให้ (ซึ่งแตกต่างกับบริษัทอื่น) Herb และ Ahmet จึงมีความเป็นอิสระที่จะคัดสรรนักดนตรีและศิลปินที่ดีในอุดมคติได้ เขาไม่เคยเอารัดเอาเปรียบศิลปินเหมือนที่หลายค่ายอิสระทำกัน เขารับผิดชอบ ซื่อตรงและให้เกียรติศิลปิน ด้วยเหตุนี้นี่เองเป็นผลให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ศิลปินที่มีพรสวรรค์ต่างก็ตั้งใจที่อยากจะสร้างผลงานและมาอยู่สังกัดนี้นาน ๆ
ในระยะเริ่มแรก ศิลปินในสังกัดต่างมาจากที่ต่าง ๆกัน มีทั้ง Stan Kenton band members Art Pepper, Shelly Manne, และ Pete Rugolo, มือกีต้าร์ : Tiny Grimes นักร้อง เช่น the Delta Rhythm Boys, the Clovers, และ the Cardinals, Ruth Brown (นักร้อง rhythm & blues), Stick McGhee และ Joe Turner นักเปียโน Erroll Garner และ Mal Waldron ศิลปิน progressive jazz มี Howard McGhee, James Moody และ Dizzy Gillespie, นักร้องเพลงแจ๊ซ Jackie & Roy และ Sarah Vaughan, นักร้องเพลง blues ก็มี Leadbelly และ Sonny Terry, และยังมีกลุ่มนักร้องตามคาเฟ่ คือ Mabel Mercer, Sylvia Syms และ Bobby Short นอกจากจะมีศิลปินดีเป็นที่ประทับใจมาอยู่ในสังกัดด้วยแล้ว Atlantic ยังมีรายได้ส่วนใหญ่จากการออกจำหน่ายเพลง rhythm and blues ที่บันทึกจาก Joe Turner (เช่น “Chains of Love,” “Honey Hush,” “TV Mama”) และที่บันทึกจาก Ruth Brown (เช่น “So Long,” “Teardrops From My Eyes,” “I’ll Wait for You”)
Atlantic ยังเป็นค่ายแรกที่บันทึกเพลงของ Professor Longhair ตำนานนักเล่นเปียโนจาก New Orleans เพลง “Fess” เป็นหนึ่งในเพลงทั้งหลายที่อยู่ในชุดแรกที่ Atlantic ทำการบันทึก คือ ชุด “Mardi Gras in New Orleans” ได้กลายเป็นเพลงประจำของงาน Mardi Gras ไป
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธุ์ ปี 1949, Atlantic ออกเพลง “Drinkin’ Wine Spo- Dee-O-Dee” โดย Stick McGhee ผู้มีชื่อเสียงในแนวเพลง blues กลายเป็นเพลงฮิตสุด ๆ และติดตามมาด้วยเพลง “Anytime, Anyplace, Anywhere” ของ Laurie Tate and Joe Morris’ ขึ้นติดอันดับหนึ่ง ในเดือน ตุลาคม ปี 1950 ต่อมาในปี 1951 Ahmet แต่งเพลง “Don’t You Know I Love You” ให้กับ Clovers ซึ่งก็ฮิตติดอันดับหนึ่งเช่นกัน ส่วน Ruth Brown เป็นคนที่ 3 ที่ทำให้ติด #1 R&B ด้วยเพลง “5-10-15 Hours” ในปี 1952
Atlantic เป็นบริษัทต้น ๆที่ได้ก้าวเข้ามาทำธุรกิจแผ่นเสียง long play ชนิด 33 1/3 rpm ออกอัลบั้มแรกเมื่อเดือนมีนาคม ปี 1949 Ahmet รู้ดีว่ามีโอกาสน้อยนักที่อัลบั้ม rhythm and blues จะประสบความสำเร็จได้ ในขณะที่เพลงประเภทเดียวกันแผ่นเสียงระบบ 78 rpm ยังคงครองใจผู้ฟังอยู่ ฉะนั้นในการออกอัลบั้มเพื่อชิงตลาดครั้งแรกจึงเริ่มด้วยอัลบั้มเสียงอ่านบทกวีก่อน เริ่มจาก Walter Benton’s This Is My Beloved
ในปี1953 Herb Abramson ถูกเกณฑ์ไปประจำการเป็นทหาร จึงรับผู้มาช่วยงานคือ Jerry Wexler เป็นชาวนิวยอร์ค เขาหลงไหลดนตรีของพวกผิวดำ เข้ามาทำงานในตำแหน่ง producer และเป็นรองประธานบริษัทด้วย รับผิดชอบหน้าที่ผลิตผลงานเพลง rhythm and blues เพื่อออกจำหน่ายให้แก่ชาวผิวดำโดยเฉพาะ
ในปีเดียวกัน Ahmet Ertegun สนใจเสียงร้องของ Clyde McPhatter จึงดั้งด้นไปหาและเซ็นสัญญารับเข้าสังกัด
Ahmet ให้เขาหาคนมาฝึกซ้อมตั้งวงดนตรี และตั้งชื่อวงว่า the Drifters เปิดตัววางจำหน่ายเพลงชุดแรก “Money Honey” ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 1953
ในเดือน พฤษภาคม ปี 1954 Atlantic ออกเพลง “Shake, Rattle and Roll” โดย Big Joe Turner เป็นเพลงสุดยอดฮิตในยุค Rock and Roll เลยทีเดียว
Ray Charles เข้ามาอยู่ในสังกัดของ Atlantic Records เมื่อปี1952 อัลบั้มแรกที่ออกคือ “Roll With My Baby” เป็นเพลงที่พอจะฮิตบ้าง โดยพื้นฐานแล้วสไตล์การร้องเดิมของ Ray Charles จะเหมือนกับ Charles Brown และ Nat King Cole ผสมกัน จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษจิกายน ปี 1954 Jerry Wexler ได้ไปฟังวงใหม่ที่ Ray Charles ฟอร์มขึ้นมา ทันทีที่ได้ฟังเขาก็ตัดสินใจนำพาวงใหม่นี้ไปบันทึกเพลง “I Got a Woman” ที่ the Georgia Tech radio station ทันที นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสไตล์การขับร้องแบบเพลงสวดแนวใหม่เป็นครั้งแรก เพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงที่ Ray Charles ติด smash hit เป็นครั้งแรกเช่นกัน
ในปี 1955 Atlantic ได้ Nesuhi Ertegun ผู้รอบรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องแจ๊ซ มาร่วมงาน รับผิดชอบการพัฒนาอัลบั้มแจ๊ซ เขาได้ทำอัลบั้มด้วยวัสดุที่มีคุณภาพสูงทั้งการบันทึกลงแผ่นไวนิลที่มีความหนาพิเศษและซองบรรจุระดับเกรดสูงทั้งสิ้น ค่ายอิสระอื่นต่างก็ไม่สามารถจะลงทุนสูงได้แบบนี้ จึงมาแข่งขันด้วยไม่ได้ นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ที่นำศิลปินแจ๊ซมาร่วมด้วยมากมาย รวมทั้ง Shorty Rogers, Jimmy Giuffre, Herbie Mann และ Les McCann
สองปีต่อมา Herb Abramson จบสิ้นประจำการในกองทัพ กลับมาทำงานที่บริษัท Atlantic พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายโดยมี Jerry Wexler เข้ามาทำหน้าที่ตำแหน่งแทนเขา และสร้างความเจริญเติบโตให้กับบริษัท จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะให้เขาออกจากบริษัท Herb จึงตัดสินใจตั้งบริษัทในเครือขึ้นมาใหม่บริหารเองชื่อว่า Atco (มาจาก ATlantic COmpany)
ในปี 1957 เมื่อเทคโนโลยีการบันทึกเสียงแบบ Stereo เกิดขึ้น Atlantic ก็เป็นหนึ่งในบรรดาบริษัทแรก ๆ ที่บันทึกออกแผ่นเสียงในระบบสเตอริโอ โดยบันทึกลง multitrack tapes พร้อม ๆกับบันทึกแบบ mono ลงแผ่นในเวลาเดียวกัน แผ่นในระบบสเตอริโอที่ฮิตในระยะแรกๆเช่นเพลง “Lover’s Question” โดย Clyde McPhatter เพลง “What Am I Living For” โดย Chuck Willis เพลง “I Cried a Tear” โดย LaVern Baker เพลง “Splish Splash” โดย Bobby Darin เพลง “Yakety Yak” โดย the Coasters เพลง “What’d I Say” โดย Ray Charles และยังมีอื่น ๆอีก แต่เพลงระบบสเตอริโอเหล่านี้ยังไม่มีการเปิดตัวออกจำหน่าย(จำหน่ายแต่ mono)
จนกระทั่งในปี 1968 ได้จำหน่ายอัลบั้มสเตอริโอแรกออกไป ชื่อ History of Rhythm and Blues, Volume 4 [Atlantic SD-8164] ผลปรากฎว่าประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ อัลบั้มสเตอริโอจึงได้ทะยอยออกจำหน่าย นับตั้งแต่บัดนั้น
Atco กำลังไปได้ดีด้วยศิลปินในสังกัดอย่าง the Coasters and Bobby Darin แต่ก็เกิดปัญหาระหว่างหุ้นส่วนใน Atlantic เมื่อ Ahmet Ertegun ขึ้นนั่งเป็นประธานบริษัทแทน Herb เกิดการแตกแยกระหว่าง Ahmet Ertegun และ Herb Abramson สุดท้ายตกลงกันโดย Atlantic จ่ายเงิน $300,000 ให้แก่ Herb ซึ่งเป็นหุ้นส่วนและผู้ลงทุนแรกเริ่ม ให้ลาออกไปในเดือน ธันวาคม ปี 1958
เหลือ Ahmet Ertegun, Jerry Wexler และ Nesuhi Ertegun ยังคงบริหารกิจการต่อไป
ในช่วงปลายปี 1950 Atlantic กลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดวัยรุ่นของชนผิวขาวจากวง the Drifters, Clyde McPhatter, Joe Turner, LaVern Baker, Ruth Brown, Ray Charles, และ the Coasters
ในปี 1960 Wexler เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ของ Satellite บริษัทแผ่นเสียงเล็ก ๆที่เมือง Memphisของ Jim Stewart เป็นเงิน $5000 ได้แผ่นเสียงที่ผลิตเสร็จแล้ว เพลง “Cause I Love You” ซึ่งร้องโดย Carla Thomas มาจำหน่ายรวมทั้งเพลง “Gee Whiz” ในเวลาต่อมาได้ขึ้นชาร์ทติดอันดับ 5 ของ Billboard ไม่นานจึงเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Satellite เป็น Stax ทำการปรับปรุงและเพิ่มอุปกรณ์ให้เป็นห้องอัดและผลิตแผ่นเสียงที่มีคุณภาพสูง ในเวลาต่อมาได้ผลิตผลงานของ Atlantic label
ในปี 1961 Atlantic ได้ Solomon Burke นักร้องประเภท country and western เข้ามาอยู่ในสังกัด และได้ผลิตเพลง “Just Out of Reach” เป็นเพลงฮิตมากในเดือนพฤษจิกายน ปีเดียวกัน หลังจากนั้นได้ผลิตเพลงติดตลาดทำยอดขายได้ดีทยอยออกมาเรื่อย ๆให้กับ Atlantic จนกระทั่งถึงปี 1968
ในปี 1964 Wexler ได้ Wilson Pickett มาอยู่ในสังกัด และได้ทำอัลบั้มแปลกใหม่ขึ้นมาโดยใช้ Stax studios เป็นห้องอัด ให้ Wilson Pickett ร่วมกับ Steve Cropper ซึ่งเป็นมือกีต้าร์และเป็นโปรดิวเซอร์ของ Stax แต่งเพลงสื่อถึงบรรยากาศของโรงแรมที่มีขวดเหล้า Jack Daniels whiskey ได้ผลงานออกมาคือเพลง “In the Midnight Hour” เป็นเพลงที่ฮิตมาก และ Wilson Pickett ยังคงทำงานสร้างผลงานระดับติดตลาดให้กับ Atlantic จนถึงปี 1972
นอกจากนั้น Wexler ยังได้ Aretha Franklin นักร้องสาวที่มีพรสวรรค์มาร่วมงานด้วย ในปี 1967 เพลงแรกที่ได้บันทึกคือ “I Never Loved a Man (The Way I Love You)” นั้น ติดตลาดทันทีอย่างน่าอัศจรรย์ ติดตามมาด้วยเพลง “Respect”, “A Natural Woman”, “Chain of Fools” และอีกมากมายหลายเพลง ตามกันมาเป็นพรวนจนได้รับฉายาว่า “Queen of Soul”
ในขณะเดียวกัน Ahmet Ertegun ก็ผลักดันให้ Atlantic เข้าสู่วงการร๊อค โดยในปี 1965 เขาได้รับนักร้องที่เป็นสามีภรรยานิรนามคู่หนึ่งร้องคู่กันใช้ชื่อเดิมว่า Caesar and Cleo เขาเปลี่ยนนักร้องเสียใหม่ เป็น Sonny and Cher เพลงของนักร้องคู่นี้ ไต่ระดับขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งปีด้วยเพลง “I Got You Babe” ติดตามมาด้วยเพลงดัง ๆอีกมากมาย
Ahmet ยังให้ความสำคัญต่อนักร้องอังกฤษ เขาจึงได้เซ็นสัญญากับศิลปินเหล่านี้ เช่น Cream, King Crimson, และ Bee Gees. ต่อมาก็รับวงดนตรีจากอักฤษ ชื่อ Led Zeppelin เข้ามาอยู่ในสังกัด ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังได้ทำสัญญาตกลงกับวงดนตรี Rolling Stones โดยยินยอมให้เพลงยังคงเป็นลิขสิทธิ์ของ Rolling Stones ส่วน Atlantic เป็นผู้จัดจำหน่าย
ในปี 1966, Nesuhi และ Wexler ไป Long Island เพื่อชมการแสดงของวงดนตรี Young Rascals(ต่อมาเรียกว่า Rascals อย่างเดียว) เขาทั้งคู่ประทับใจมาก ถึงกับรีบเซ็นสัญญารับเข้ามาในสังกัดและได้ออกอัลบั้มเพลงที่กลายเป็นเพลงอัมตะ “Groovin”, และอีกหลายเพลง ในปีเดียวกันนี้ยังได้เซ็นสัญญากับ Buffalo Springfield ออกอัลบั้มหลายเพลงภายใต้ Atco lable พลงที่ฮิตมาก คือ “For What It’s Worth”
ในปี 1967 Atlantic ได้รับการทาบทามขอซื้อจาก Warner Seven Arts Corporation โดยเสนอให้หุ้นของ Warner มูลค่า $17,000,000 แก่ Ahmet, Jerry และ Nesuhi ขณะที่ยังคงให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสของ Atlantic โดยรับค่าจ้างเป็นเงินเดือนในอัตราที่สูงอีกด้วย ทั้ง 3 จึงตกลงขายให้ ฉะนั้น Atlantic/Atco Records รวมทั้ง Warner Brothers/Reprise Records จึงอยู่ภายใต้ปีกการบริหารของ Warner-Seven Arts Corporation ตั้งแต่บัดนั้น
ในปี 1969 Ahmet ได้เกลี้ยกล่อมให้ David Geffen นำวง Crosby, Stills and Nash มาสังกัด Atlantic และ David ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มแรก โดยใช้เลเบล Asylum Record Label ภายใต้ปีกของ Warner-Elektra-Atlantic (WEA) ในเวลาต่อมาเป็น Geffen Records
ภายใต้องค์กร Warner-Seven Arts, Atlantic และ Warner-Reprise ต่างก็บริหารจัดการแยกเป็นอิสระจากกัน จนกระทั่งถูกซื้อไปโดย Kinney Corporation ในปี 1969 อย่างไรก็ตาม Ahmet Ertegun ยังคงได้รับความไว้วางใจให้บริหารงานต่อไป และได้รับมอบหมายให้ร่วมกับประธานและผู้อำนวยการของ Warner Brothers Records ดูแลธุรกิจด้านต่างประเทศ เขาได้แนะนำให้ Kinney ซื้อกิจการ Elektra Record Company และแยกกันควบคุมดูแลการจำหน่ายตามย่านหลักกๆของสหรัฐอเมริกา เหตุผลที่ Kinney (ซึ่งต่อมากลายเป็น Warner Communications) ประสบความสำเร็จในธุรกิจแผ่นเสียงทั้ง ๆที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็เนื่องมาจากช่วงเวลานั้น เกิดการแตกแยกของกลุ่มต่าง ๆในวงการอย่างแสนสาหัส (ตัวอย่างเช่น Gulf+Western กับ Stax และ Dot, Transamerica กับ Liberty และ United Artists) กอร์ปกับยังคงให้ความไว้วางใจต่อบุคคลที่ทรงคุณค่าอย่าง Ahmet Ertegun ใน Atlantic, Jac Holtzman ใน Elektra, และ Mo Ostin กับ Joe Smith ใน Warner Brothers ให้พวกเขายังคงดำเนินการบริหารตามความถนัดต่อไปนั่นเอง ส่วน Warner Communications เป็นเพียงผู้ลงทุนและจัดจำหน่าย
Atlantic ยังคงบริหารต่อมาถึงทุกวันนี้ภายใต้องค์กรของ Time-Warner เป็นหนึ่งในบริษัทแผ่นเสียงที่ยังคงอยู่รอดมาได้ และมียอดจำหน่ายสูงที่สุด มากกว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านการตลาดจำหน่ายแผ่นเสียงมาก่อนอย่าง Columbia (ครอบครองโดย Sony) และ RCA (ครอบครองโดย BMG) Ahmet Ertegun ยังคงทำงานอยู่ที่เดิม แม้ว่าหน้าที่เขาจะลดน้อยลงไปหลังจากปี 1996 เมื่อเขากลายเป็นประธานร่วมของบริษัท ชีวประวัติของเขาเขียนขึ้นโดย Dorothy Wade และ Justine Picardie ในปี 1990 ชื่อ “Music Man: Ahmet Ertegun, Atlantic Records, and the Triumph of Rock ‘n’ Roll” ส่วน Jerry Wexler นั้น เกษียณและพักอยู่ใน Florida เขาได้ตีพิมพ์อัตชีวประวัติของตนเองในปี 1993 ชื่อ “Rhythm and the Blues”
การก้าวผงาดของ Atlantic Records อย่างอยู่ยั้งยืนยง แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จนั้น เกิดมาจากผู้ทำงานด้วยอุดมการณ์ ตั้งใจจริง รสนิยมดี มีความรักและเข้าใจดนตรีอย่างลึกซึ้ง
แรนดี้ วู๊ด: เรื่องราวความเป็นมา และประวัติของ Dot Records
ช่วงระยะแรกๆ (1950-1955)
Randolph C. Wood เกิดในปี 1918 ที่ McMinnville, Tennessee, คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ Dot Records. หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจรับใช้กองทัพแล้ว เขาก็ทำมาหากิน ตั้งถิ่นฐานที่ Gallatin, Tennessee, เป็นเมืองเล็กๆใกล้ Nashville. โดยเริ่มต้นจากกิจการร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อร้าน Randy’s, นอกจากขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปแล้ว เขายังเริ่มนำสินค้าแผ่นเสียงมาขายด้วยในปี 1947. เป็นแผ่นประเภท classical music และ popular music ในสมัยนั้น แต่ปรากฎว่า ขายได้ช้ามาก ลูกค้าที่เข้ามาหาซื้อส่วนใหญ่จะมองหาแต่ศิลปินประเภท rhythm and blues เช่น Joe Liggins, Roosevelt Sykes, หรือ Cecil Gant, ซึ่งเป็นเพลงที่นิยมฟังกันในเมือง Nashville. แผ่นประเภทนี้มีจำนวนน้อยและไม่มีขายในบริเวณนี้เลย เขาจึงเริ่มเปิดบริการ mail-order สำหรับให้ลูกค้าสั่งจองแผ่นประเภท 78 rpm.ในปี 1948 โดยลงประกาศโฆษณา ก็ประสบความสำเร็จมี orders หลั่งไหลเข้ามามากจนกระทั่งในปี 1950, จึงเลิกขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในร้านทั้งหมด ขายแต่แผ่นเสียงอย่างเดียว โดยเปลี่ยนชื่อร้านใหม่ว่า “Randy’s Record Shop.” เขาสต๊อคแผ่นไว้กว่า 20,000 อัลบัม และได้ร่วมกับ Gene Nobles ผลิตอัลบัมเป็นของตนเองภายใต้เลเบล Randy’s, และบางเลเบลใช้ชื่อ “Gene Nobles’ Boogie” โดยบันทึกเพลงจากศิลปิล Cecil Gant. เป็นหลัก ซึ่งเป็นกิจการต่อเนื่องจากร้านขายแผ่นเสียง จนต่อมากลายเป็น กิจการ Dot. ในภายหลัง
Wood ยังได้เป็นหุ้นส่วนกิจการสถานีวิทยุท้องถิ่น ซึ่งออกอากาศช่วงกลางวันเท่านั้น เขาและ Nobles ตัดสินใจทำแผ่นเสียงในเลเบลของตนเองขึ้นอย่างจริงจัง และบันทึกเสียงของศิลปินในถิ่นนั้น ศิลปินคนแรกคือเด็กหนุ่มแพ๊คของและจัดแผ่นเสียงที่ร้านเขาเองชื่อ Johnny Maddox. Maddox กลายเป็นศิลปินที่ทำให้ Dot Records ดูมีคุณค่าและสังกัดอยู่ที่นี่เกือบ 20 ปี นอกนั้นยังมีศิลปิน the Fairfield 4 (“Jesus Met the Woman at the Well,” Dot 1003), the Gateway Quartet, the Golden Voice Trio, Rosa Shaw, Joe Warren, the Singing Stars, และ the Brewsteraires. และแน่นอนว่าต้องมีศิลปิน rhythm and blues
หนึ่งในศิลปิน rhythm and blues (R&B groups) ที่บันทึกเป็นวงคอมโบเรียกว่า the Griffin Brothers ประกอบไปด้วย Margie Day และ Tommy Brown. 5 อัลบั้มแรกที่บันทึกได้ติดอันดับ Billboard R&B top-10 ในปี 1950-51. 3 อัลบั้มแรก (Dot 1010, 1019, และ 1060) บันทึกบนแผ่นครั่ง 78 rpm เท่านั้น ขณะที่อีก 2 อัลบั้มหลัง (Dot 1070, 1071) ได้บันทึกบนแผ่นไวนิล 45 rpm. ด้วย อัลบั้มที่ฮิตสุดคือ “Weepin’ & Cryin'” (Dot 1071), ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 1 ของ Rhythm and Blues charts ในต้นปี 1951.
ศิลปิน R&B ในยุคแรกๆของ Dot ประกอบไปด้วย Ivory Joe Hunter, Joe Liggins, the Four Dots, the Big Three Trio, Brownie McGhee, Shorty Long, และ the Counts. (เป็นวงจากเด็กหนุ่มผิวดำ 5 คน จาก Indianapolis ประกอบด้วย Robert Wesley, Robert Penik, James Lee, lead singer Chester Brown, และ Robert Young). The Counts ได้ขึ้นติด top-10 R&B ของปี 1954 ด้วยเพลง “Darling Dear” (Dot 1188), ส่วนอัลบัมต่อมาไม่ประสบผลสำเร็จ
นอกจากนี้แล้วยังมีศิลปินแนว country เช่น Big Jeff, Mac Wiseman, Bob Lamm, Andy Wilson, Tommy Jackson, Jam Up & Honey, the Tennessee Drifters, Lonzo and Oscar, และ Jimmy Newman.
Randy Wood ประสบผลสำเร็จในเพลงป๊อปครั้งแรก จากศิลปินกลุ่มคนขาวเรียกว่า Hilltoppers, หัวหน้าวงเป็นนักแต่งเพลงชื่อ Billy Vaughn มี Jimmy Sacca. เป็นนักร้องนำ และที่เหลือในวงคือ Don McGuire และ Seymour Spiegelman. ทั้ง 4 คนคือนักเรียนจาก Western Kentucky College ใน Bowling Green, และนำเอาชื่อทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนมาใช้ตั้งเป็นชื่อวง เพลงที่บันทึกกับ Dot ในครั้งแรกคือ “Trying” (Dot 15018 ในปี1952) ส่วนเพลงที่ฮิตที่สุดคือ “P.S. I Love You” บันทึกในปี1953
หลังจากไม่กี่ปีที่ Billy Vaughn อยู่กับวง Hilltoppers นี้ เขากลับรู้สึกว่าตนเองมีรสนิยมทางด้าน orchestral arrangements มากกว่าการประพันธ์เพลงร้อง ในปลายปี 1954 เขาได้ลองประพันธ์แนวดนตรีใหม่ให้กับเพลง”Melody of Love” ซึ่ง Wayne King ได้บันทึกไว้กับ Victor ในปี 1940 (Victor 26695). ได้รับความนิยมพุ่งขึ้นมาสู่อันดับที่ 2 ในต้นปี 1955, Vaughn จึงตัดสินใจอนาคตตนเองมาสู่การเป็นหัวหน้าวง orchestra โดยลาออกจากวง the Hilltoppers มาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายดนตรีของ Dot, เป็นหัวหน้าผู้กำกับวงออร์เคสตร้าแบ็คอับให้กับนักร้องในสังกัดของ Dot เช่น Pat Boone, Gale Storm, the Fontane Sisters, และอื่นๆ. เขาได้สร้างอัลบัมที่ยอดเยี่ยมถึง 36 อัลบัมโดยวง orchestra ของเขามาตั้งแต่ปี 1958 ถึง 1970.
ในช่วงต่อมา 1955-1957
ในปั 1955, เมื่อ Randy Wood พยายามที่จะให้เพลงที่ตนเองบันทึกได้ออกอากาศในสถานีวิทยุ เขาพยายามทำการบันทึกเพลงทุกประเภท แต่ก็ตระหนักดีว่าเพลง ป๊อป จะเป็นประเภทเพลงที่จะนำทางไปสู่ความสำเร็จ จึงได้เซ็นสัญญารับนักร้องหนุ่มเสียงนุ่มชื่อ Pat Boone เข้าในสังกัด และก็ไม่ผิดหวังสำหรับนักร้องเสียงกล่อมผู้ฟังแนวเดียวกับ Bing Crosby และ Perry Como กลายเป็นนักร้องที่มีรูปอยู่ที่หน้าปกแผ่นเสียงมากกว่าศิลปินทุกคน
เริ่มตั้งแต่ปี 1957, Boone ประสบความสำเร็จในอาชีพนักร้องจากเพลงของวัยรุ่น เช่น “Don’t Forbid Me”, “April Love” และ “Love Letters in the Sand”. Pat Boone สังกัดอยู่กับ Randy Wood’s ใน Dot Records เป็นเวลาหลายปี ได้สร้างเพลงติดชาร์ตให้กับ Dots มากกว่า 60 เพลงที่ฮิตติดตลาด จนกระทั่งถึงปลายปี 1968. เมื่อ Randy Wood ได้ลาจาก Dot ไปสร้างชื่อใหม่ของตนเองคือ Ranwood Records ช่วงนั้นเอง Boone ก็ได้จากไปเช่นกัน
ค่ายแผ่นเสียง Dot Records มีจุดเด่นตรงที่ความจงรักภักดีของศิลปินที่มีต่อสังกัด ศิลปินหลายคนอาทิ Johnny Maddox, Pat Boone, Billy Vaughn, the Fontane Sisters, และ Lawrence Welk อยู่กับ Dot. เป็นเวลานานนับสิบปี เหตุผลคือ Randy Wood เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมีความยุติธรรม
ศิลปินอีกกลุ่มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงกลางปี 1950s คือ Fontane Sisters (Marge, Bea, และ Geri Rosse). เป็นพี่น้อง 3 คนจากเมือง Milford, New Jersey, ซึ่งเป็นกลุ่มนักร้องที่ร้องเป็น background ให้กับ Perry Como ตั้งแต่ปลายปี 1940s. ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำด้วยเพลง “Hearts of Stone” ในปี 1955. และยังมีเพลงที่ฮิตติดตลาดโดยร่วมกับ Teen Queens’ ด้วยเพลง “Eddie My Love,” ร่วมกับ the Drifters’ ด้วยเพลง “Adorable,” ร่วมกับ the Marigolds’ ด้วยเพลง “Rollin’ Stone,” และร่วมกับ Fats Domino’s ด้วยเพลง “Please Don’t Leave Me,” เพลงทั้งหมดนี้อยู่ในช่วงปี 1955-1956 และบันทึกผลิตออกจำหน่ายในช่วงปี 1956-1958,
ในปี 1955 Wood ได้เซ็นต์สัญญารับ Gale Storm เข้ามาในสังกัด Gale เคยโด่งดังมาจากรายการทีวีหนึ่งชื่อ “My Little Margie” starting ในปี 1952. Wood ได้บันทึกเพลงที่เธอร้องชื่อ “I Hear You Knockin'” ติดอันดับที่ 2 ของ national hit และกลายเป็นนักร้องที่ประสบผลสำเร็จอย่างสูงในค่าย Dots รวมทั้งเพลง “Why Do Fools Fall in Love.” อัลบัมที่ฮิตอีกแผ่นหนึ่งคือ “Ivory Tower” ออกในฤดูใบไม้ผลิของปี 1956 (Dot 15458)
บริษัทแผ่นเสียง Grand Award กำเนิดขึ้นในปี 1955 ที่เมือง Harrison รัฐ New Jersey ประธานบริษัทเคยเป็นหัวหน้าวงออร์เคสตร้า ชื่อ Enoch Light. เพลงที่บันทึกจากค่ายนี้ก็มีทั้ง pop, jazz และ gospel music(ดนตรีแนวที่บรรเลงในโบส) และยังมีออกเลเบลในเครืออีกคือ Audition, Colortone, Command Performance และ Waldorf Music Hall.
ในปี 1959 เดือน ตุลาคม บริษัท Grand Award และเลเบลในเครือได้เปลี่ยนมือไปอยู่กับเจ้าของใหม่ Am-Par Record Corporation ซึ่งก็คือ ABC-Paramount
A & M Records ก่อตั้งโดย Herb Alpert และ Jerry Moss ในปี 1962 ที่ Los Angeles California เริ่มกิจการจากที่ไม่มีอะไรมาก่อน ด้วยเงินของทั้ง 2 คนรวมกันเพียง 200 dollars บันทึกเพลงประเภท pop music เพียงอย่างเดียวในช่วงเริ่มแรก จนกระทั่งต่อมาจึงมีกลุ่มร๊อคของอังกฤษ และอเมริกันเข้าในสังกัด เขาทั้งคู่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งและยืนอยู่ในธุรกิจแผ่นเสียงด้วยตัวของตัวเอง จนกระทั่งในปี 1989 จึงได้ขายไปให้กับ PolyGram เป็นจำนวนเงินถึงครึ่งล้าน dollars
Herb Alpert เกิดเมื่อ 31 มีนาคม ปี 1935 ในเมือง Los Angeles California เป็นลูกชายคนที่ 2 ของ Louis Alpert (เชื้อสายรัสเซีย) มีความช่ำชองในการเล่น mandolin ส่วนภรรยาของ Louis ชื่อ Tillie ชอบเล่น violin พี่ชายของ Herb ชื่อ David ชอบตีกลอง แต่ Herb กลับไม่มีความสนใจในดนตรีเลย จนกระทั่งอายุได้ 8 ขวบ เขาขอเบิกเงินไปเช่า trumpet มาเล่น พ่อแม่รู้เข้าเลยส่งเสริมเป็นการใหญ่ จ้างนักเป่า jazz trumpet ชื่อ Harold “Pappy” Mitchell ให้มาสอนให้ และเมื่ออายุได้ 13 ปี Herb ได้รับการฝึกสอนจาก Ben Klazkin มือทรัมเป็ตอันดับหนึ่งของ San Francisco Symphony เป็นผู้ที่พยายามส่งเสริมให้เขาเป็นนักดนตรีคลาสสิก แต่ฝึกได้ไม่นานเขาก็เบื่อแนวเพลงคลาสสิก จนเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้จัดตั้งรวมตัวเป็นกลุ่มนักดนตรี ชื่อว่าวง the Colonial Trio ประกอบไปด้วยมือกลอง ทรัมเป็ต และนักเปียโน หลังจากฝึกปรือจนเชี่ยวชาญแล้ว วงนี้ก็ได้รับชัยชนะในการเข้าร่วมการแข่งขัน TV talent contest program
Alpert เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Southern California และเป็นนักดนตรีตัวหลักของมหาวิทยาลัย แต่หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เขาก็ถูกส่งเข้าประจำการทหารใน Fort Ord ที่ Monterey California เขาเป่าทรัมเป็ตได้ประทับใจของกองทัพ จนกระทั่งทางกองทัพให้เขาจัดตั้งวงมาร์ชขึ้น ระหว่างที่อยู่ในกองทัพ ได้แต่งงานกับคนรักสมัยที่เคยเรียนอยู่ high school ด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มมาสนใจในดนตรีแจ๊ซ โดยชอบฟังการเล่นของ Clifford Brown, Charlie Parker และ Miles Davis หลังจากที่ปลดประจำการจากกองทัพในปี 1956 เขาก็กลับมาที่ Los Angeles ตั้งวงดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่งเล่นตามงาน บอลล์ และงานปาร์ตี้ตามโรงแรม สม่ำเสมอเรื่อยมา
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาเริ่มเขียนบทเพลง และก็บังเอิญได้พบกับ Lou Adler ซึ่งเป็นคนที่เคยขายประกันชีวิตให้เขา คนผู้นี้ได้ปรารภกับ Herb Alpert ว่า ชอบเขียนบทกวี และอยากจะเป็นนักแต่งเนื้อเพลงอาชีพ ทั้ง 2 คนก็เลยร่วมกันแต่งเพลง เพลงแรกที่ออกจำหน่ายคือ “Circle Rock” บันทึกโดย Keen records ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี จนต่อมาในปี 1959 Keen records จึงรับ Alpert และ Adler เข้าเป็นพนักงานร่วมทีมประพันธ์เพลงของบริษัทด้วยค่าจ้าง $35 ต่อสัปดาห์ เขาได้ร่วมกันแต่งเพลงให้กับศิลปินในสังกัด Keen recording คือ Sam Cooke และประสบความสำเร็จระดับหนึ่งด้วยเพลง “All of My Life” และที่ประสบผลสำเร็จมากคือเพลง “Wonderful World” ต่อมา Cooke ได้ลาออกจาก Keen ไปอยู่ในสังกัด RCA, Alpert และ Adler ก็ลาออกจาก Keen records เช่นกัน ไปจัดตั้งเป็นบริษัทผลิตเพลงของตนเอง เขาผลิตผลงานเพลงของศิลปิน Jan และ Dean โดยไปผลิตที่ Dore Records แต่เมื่อ Jan และ Dean ถูกซื้อตัวไปโดยค่าย Challenge (และต่อมาก็ไปยังLiberty records) Alpert และ Adler จึงไม่มีศิลปินเหลือให้ผลิตผลงานอีก จากจุดนี้เองเขาทั้งสองก็ตัดสินใจแยกจากกันอย่างฉันเพื่อน
Adler ก่อตั้ง Dunhill Records ในปี 1964 ทำเงินได้มหาศาลจากการขายภายในไม่กี่ปี และหลังจากนั้นก็มาเริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Ode label
ในปี 1961 Jerry Moss เป็นผู้หนึ่งที่ประสบผลสำเร็จในวงการบันทึกเสียงและยังเป็นนักการตลาดตัวยง ได้พบกับ Herb Alpert และด้วยความประทับใจกับการเล่นทรัมเป็ตของ Herb เขาจึงว่าจ้างขอให้เล่นเพลงที่จะผลิตขึ้นมาชื่อว่า “Love Is Back In Style” Herb รู้สึกซาบซึ้งถึงกับมอบเพลงที่เขาแต่งไว้ชื่อ “Tell It To the Birds” ให้ไปด้วย ต่อมาทั้งคู่จึงตกลงเป็นหุ้นส่วนกันโดยร่วมทุนครั้งแรกคนละ $100 ตั้งชื่อว่า Carnival Records ต้นปี 1962 ได้ออกอัลบัม Carnival 701 “Tell It To the Birds” และได้สร้างความประทับใจให้กับ Dot Records จนขอซื้อ master ไปเป็นเงิน $750 และผลิตออกจำหน่ายภายใต้ Dot label
Jerry Moss ได้ตั้งชื่อเพลงใหม่นี้ว่า “The Lonely Bull” ส่วนวิศวกรฝ่ายผลิต Ted Keep ได้เพิ่มเสียงของกระดิ่งวัวกระทิงเป็น sound effects ลงไปอีก และแล้ว “The Lonely Bull” โดย Herb Alpert และ the Tijuana Brass ก็พร้อมที่จะออกตลาดในเดือน สิงหาคม ปี 1962 แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องชื่อบริษัท ไม่สามารถใช้ชื่อ Carnival ได้ เพราะมีบริษัทแผ่นเสียงอื่นใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งคู่จึงเปลี่ยนชื่อใหม่โดยเอาอักษรนำหน้านามสกุลของทั้งสองมาเป็นชื่อบริษัทแทนว่า A & M Records
ในเดือนตุลาคม อัลบั้ม “The Lonely Bull” ได้ไต่ขึ้นอันดับชาร์ทเพลงจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพลงนี้ติดอันดับของ Top 10 ขายไปกว่า 700,000 แผ่น และไม่นาน A & M records ก็มี 2 อัลบั้มที่ติดชาร์ทยอดขายสูงสุด คือ The Lonely Bull และ Herb Alpert’s Tijuana Brass, Volume 2 จากนั้นสำนักงานของ A & M Records ย้ายออกจากโรงรถไปอยู่ที่ 8255 Sunset Boulevard ใน Hollywood
แนวดนตรีของ Alpert จัดว่าอยู่ในสายกลาง ๆ ฟังได้ทั้งผู้สูงอายุ และผู้นิยมเพลงป๊อปกลุ่มใหญ่(ในกลุ่มที่ไม่ชอบแนวเพลงร๊อกที่หนักหน่วง) เพื่อเป็นการรักษายอดขายให้คงอยู่ ทำให้ต้องออกทัวร์แสดงดนตรีและออกโชว์ตัวทางทีวี ในการออกแสดงนี้ได้ทำให้เพลงของเขาฮิตเพิ่มขึ้นอีก 2 เพลงคือ “The Mexican Shuffle” และ “A Taste of Honey” ผลักดันให้ Tijuana Brass ทั้ง 3 albums ขึ้นติด chart พร้อมกันในปี 1965 และในปีเดียวกัน Alpert ก็ได้รับรางวัล Grammy awards ถึง 4 รางวัล ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 1966 album ที่ 5 ของเขาชื่อ Going Places ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 1 และอีก 4 albums ต่างก็อยู่ในลำดับ Top Twenty ทำให้แผ่นเสียงเขาขายได้ถึง 13 ล้านแผ่นอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนั้นในปี 1968 อัลบัม “This Guy’s In Love With You” ซึ่งเป็นแผ่น single จากเพลงร้องของ Alpert ก็ได้ติดอันดับหนึ่งอีกด้วย
จากความสำเร็จของ Tijuana Brass ได้สร้างรายได้เป็นฐานการเงินให้แก่ A & M ผลิตอัลบั้มอื่นออกตามมาอีก จากศิลปินต่าง ๆที่อยู่ในสังกัดช่วงกลาง ยุค ’60 เช่น Baja Marimba Band, Sergio Mendes & Brasil ’66, Chris Montez, Claudine Longet, the Sandpipers และ We Five อัลบัมของศิลปินเหล่านี้ต่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างความยิ่งใหญ่แก่ A & M จนกระทั่งในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 1966 จึงได้ย้ายที่ทำการใหม่ ไปยัง Charlie Chaplin movie studio ที่ La Brea และ Sunset Boulevard
A & M ได้เตรียมเงินทุนออกทัวร์คอนเสิร์ต Joe Cocker ใช้ชื่อว่า “The Mad Dogs and Englishmen Tour” (หลังจากที่ประสบความสำเร็จในงาน Woodstock) และอัลบั้ม Mad Dogs and Englishmen ขายไปได้กว่าล้านแผ่น
ระหว่างปี 1970 ถึง 1980 A & M เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง รับศิลปินเข้ามาในสังกัดมากมาย ทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง rhythm & blues singers, comedy acts และกลุ่มร๊อคเช่น Styx และ Supertramp อัลบั้ม Frampton Comes Alive! โดยนักร้อง Peter Frampton ในสังกัด ขายได้มากกว่า 10 ล้านแผ่นในปี 1976 นอกนั้นยังมี Carpenters, Cat Stevens, Carole King (ใช้เลเบลของ Lou Adler’s Ode ฃึ่ง A & M เป็นผู้จัดจำหน่าย), Quincy Jones, Captain and Tennille, Bryan Adams(นักร้องและนักแต่งเพลงชาวแคนาดา), the Police, Sting, Amy Grant and Janet Jackson
Herb Alpert ยังประสบความสำเร็จจากแผ่น single ที่ผสมแนวดนตรี disco อ่อนๆ ชื่ออัลบั้ม “Rise” ขายได้กว่า 1 ล้านแผ่น และได้รับรางวัล Grammy award ครั้งที่ 7 สำหรับแนวดนตรี best pop instrumental performance แห่งปี
Enoch Light นอกจากจะบริหารและดำเนินงานของบริษัท Command แล้ว เขายังเป็นศิลปินที่ออกผลงานเองบันทึกภายใต้ชื่อ Enoch Light Orchestra, Enoch Light and the Light Brigade และ Enoch Light and the Charleston City All Stars. ประกอบด้วยหลายอัลบัมที่มีนักดนตรี Charles Magnante เล่น Accordion และ Tony Mottola เล่น guitar ส่วนนักเปียโน Dick Hyman ได้บันทึกออกอัลบัมภายใต้ชื่อของตนเอง
เลเบล แรกของ Command record มีพื้นสีเทา ตัวพิมพ์สีดำ และมีโลโก้เป็นตัวเขียนสีขาวอยู่ด้านบนเหนือรูแผ่นเสียง ส่วนด้านล่างฉลากมีข้อความ “MFG. BY GRAND AWARD RECORD CO, INC., U.S.A” ฉลากนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1959 จนกระทั่งถึงปี 1961
เลเบล รุ่นที่ 2 ของ Command จะมีพื้นฉลากสีขาวตัวพิมพ์สีดำ และโลโก้เป็นตัวเขียน Command สีทองอยู่เหนือรูแผ่นเสียง ส่วนด้านล่างฉลากมีข้อความ “MFG. BY GRAND AWARD RECORD CO, INC., U.S.A” ฉลากนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1961 จนกระทั่งถึงกลางยุค 60’s. ส่วนอัลบัมที่ออกหลังจากนี้จนถึงปี 1969 จะมีข้อความ “A Subsidiary of ABC Records” ที่ด้านล่างฉลาก
เลเบล รุ่นที่ 3 จะมีพื้นสีครีม ตัวพิมพ์สีดำ และโลโก้เป็นตัวเขียนคำว่า Command สีดำอยู่ในกรอบ 4 เหลี่ยมหลากสี และข้างๆโลโก้ดังกล่าวมีโลโก้ของ ABC Records.อยู่ด้วย ส่วนด้านล่างฉลากมีข้อความ “Grand Award Record Co. Inc. Is a subsidiary and trademark licensee of ABC Records, Inc. New York, N.Y. 10019 Made in USA” ฉลากนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1969 ถึงราวปี 1972. และจากปี1972 จวบจนถึงอัลบัมสุดท้าย ขอบ 4 เหลี่ยมหลากสีก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำ และไม่มีข้อความ Grand Award Record Co. อีกต่อไป
ผู้ก่อตั้ง Capitol Records เป็นนักประพันธ์เพลงชื่อ Johnny Mercer ในปี 1942 โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก Buddy DeSylva (โปรดิวเซอร์ผลิตภาพยนต์) และ Glenn Wallichs นักธุรกิจผู้ชาญฉลาด เจ้าของอาคาร Music City ซึ่งขณะนั้นเปิดดำเนินกิจการร้านแผ่นเสียงที่ใหญ่ที่สุดใน Los Angeles, California มีชื่อว่า Wallichs Music City record store ตั้งแต่ปี 1940 สถานที่อยู่ในย่าน Hollywood เป็นร้านแผ่นเสียงที่ดีที่สุดยาวนานนับสิบ ๆปี ในคาลิฟอเนียตอนล่างจนกระทั่งปิดตัวลงในปี 1978 และสำนักงาน Capitol Records ก็อยู่ที่ด้านหน้าของอาคาร Music City.
Capitol เป็นบริษัทแผ่นเสียงแห่งแรกที่เปิดดำเนินกิจการในย่านฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา แข่งขันกับ RCA-Victor, Columbia และ Decca ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวนี้ตั้งอยู่ใน นิวยอร์ค นอกจากจะมีสตูดิโอห้องบันทึกแผ่นเสียงใน Los Angeles แล้ว Capital ยังมี สตูดิโอแห่งที่ 2 ในเมืองนิวยอร์คอีกด้วย อีกทั้งใช้รถเป็นสตูดิโอเคลื่อนที่ ทำการบันทึกตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น New Orleans, Louisiana และที่อื่น ๆ อีกเป็นครั้งคราว
ศิลปินที่สังกัดและบันทึกกับ Capitol มี Paul Whiteman (popular American orchestral leader ) Martha Tilton,
และ Ella Mae Morse ( American Popular singer) อัลบั้มแรกของ Capitol เป็น gold single ชื่ออัลบัม Morse’s “Cow Cow Boogie” บันทึกในปี 1942 จนกระทั่ง ปี 1946 ได้จำหน่ายได้ถึง 42 ล้านแผ่น กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับ the Big Six record labels ในปีเดียวกันนี้เอง Alan W. Livingston ผู้ประพันธ์เพลงและผู้ผลิต ได้ทำอัลบั้ม Bozo the Clown สำหรับเด็ก
อัลบั้มที่ออกในปี 1940 ประกอบด้วยศิลปิน Les Baxter, Bing Crosby, Les Paul, Peggy Lee, Les Brown และ Nat King Cole.
ในปี 1949 Capitol ได้เปิดสาขาขึ้นที่ประเทศ คานาดา และยังได้เข้าซื้อกิจการของ KHJ Studios ซึ่งตั้งอยู่ที่ Melrose Avenue ติดกับ Paramount Studios ใน Hollywood จนกระทั่งถึงกลางปี 1950 Capitol กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ มุ่งทำตลาดเพลง popular music. ศิลปินที่อยู่ในสังกัดในปี 1950 ประกอดด้วย Frank Sinatra, Judy Garland, The Andrews Systers, Jackie Gleason, Ray Anthony, Andy Griffith, Shirley Bassey, The Kingston Trio, Dean Martin, The Four Freshmen, Al Martino และ Nancy Wilson.
ในปี 1957 บริษัทแผ่นเสียงจาก อังกฤษคือ EMI เข้าครอบครองหุ้นของ Capitol records 96% คิดเป็นจำนวนเงินเงิน 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นไม่นาน EMI ก็สร้างสตูดิโอแห่งใหม่ที่ Hollywood & Vine ในรูปลักษณ์ที่เข้ากันกับรูปลักษณ์สตูดิโอระดับศิลปะชั้นสุดยอด (State-of-the-art)ของ Abbey road Studios ที่สร้างไว้ใน London และได้นำเอาอัลบัม Classics ที่บันทึกในเลเบลของ Angel records (ภายใต้ EMI) มารวมเข้าไว้ใน Capitol ในปี 1957 นี้ด้วย
ปี 1960 Capitol เป็นบริษัทอเมริกันที่มีทั้งศิลปินในสังกัด (รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายอัลบั้มของศิลปินต่าง ๆ) มากมาย เช่น Badfinger(วง Rock/ Pop จากแคว้น Wales), The Band (Canadian-American Rock & Roll group) , The Beach Boys, The Beatles, Joe Cocker, Grand Funk Railroad, Bobby Darin, Steve Miller band, People, Pink Floyd, Linda Ronstadt, The Human Beinz, และ Peter Tosh
ในยุคปี ’70 Capitol ได้ออกอัลบัมสู่ตลาดให้เลือกได้มากขึ้นอีกโดยเพิ่มอีก 2 เลเบลคือ EMI American records และ EMI Manhattan records จำหน่ายเพลงที่บันทึกจากศิลปินรุ่นใหม่ เช่น April Wine, Blondie, Burning Spear, Buzzcocks, David Bowie, Kim Carnes, Rosanne Cash, George Clinton, Natalie Cole, Sammy Hagar, Heart, John Hiatt, The Knack, Maze, Queen, Bonnie Raitt, The Raspberries, Minnie Riperton, Diana Ross, Bob Seger, The Spacials, Ten Wheel Drive, The Stranglers, Tavares, George Thorogood และ Wings จนกระทั่งในปี 1979 Capitol กลายเป็นแผนกหนึ่งของ EMI Music Worldwide.
Capitol ยังมีศิลปินเพิ่มเติมหลากหลายอีกในปี 1980 ประเภทวง pop music และนักร้องเดียว เช่น Crowded House, Duran Duran, Glass Tiger, Katrina & The Waves, Grace Jones, Kylie Minogue, Lloyd Cole, Pet Shop Boys, R.E.M., Roxette, Brian Setzer, The Smithereens, Spandau Ballet, Tina Turner, และ Paul Westerberg ประเภทวง punk/hard rock เช่น Butthole Surfers, Concrete Blonde, Billy Idol และ Red hot Chili Peppers วง heavy metal เช่น Megadeth, Great White, Poison, และ Queensryche, วง rap เช่น Beastie Boys, Eazy-E, N.W.A ศิลปิน Jazz เช่น Dave Koz นักร้องเพลง soul เช่น Freddie Jackson
ศิลปินยุคปี 90 มี Blind Melon, Garth Brooks, Meredith Brooks, Coldplay, The Dandy Warhols, Dilated Peoples, Doves, Everclear, Geri Halliwell, Ice Cube, Idlewild, Jane’s Addiction, Jimmy Eat World, Ras Kass, Kottonmouth Kings, Ben Lee, Less Than Jake, Luscious Jackson, Tara MacLean, Marcy Playground, Mazzy Star, MC Eiht, MC Hammer, MC Ren, The Moffatts, Moist, Liz Phair, Lisa Marie Presley, Radiohead, Snoop Dogg, Spearhead, Starsailor, Supergrass, Télépopmusik, Television, Richard Thompson, และ Robbie Williams.
ในปี 2001, อัลบัมของ EMI ออกรวมกับ Capitol Records label ด้วยการใช้เลเบลใหม่ชื่อว่า Priority Records label. ใช้สำหรับอัลบัมเพลง rap มีศิลปินที่บันทึกเช่น Cee-Lo, Ice Cube, Snoop Dogg, and C-Murder, Lil Romeo และ Lil Zane. ส่วนศิลปินอื่น ๆในปี 2000 เช่น Jiggolo, LeToya, Zay, Red Cafe, Alexz Johnson, Aslyn, Auf Der Maur, Big Moe, Borialis, Chingy, The Decemberists. Dexter Freebish, Dirty Vegas, Ebony Eyez, From First To Last, The F-ups, Faith Evans, Faultline, Fischerspooner, Jonny Greenwood, Ed Harcourt, Houston, Van Hunt, Javier, Matthew Jay, Marjorie Fair, Methrone, Dave Navarro, OK Go, Otep, Pru, Relient K, Roscoe, Saosin, Squad Five-0, The Star Spangles, Steriogram, Supervision, Skye Sweetnam, The Vines, Yellowcard, Young Bleed,((young life)) Don Yute, Cherish, Shout Out Louds, Hurt, Corinne Bailey Rae, The Magic Numbers, Hedley, End of Fashion และ Morningwood.
Duck เป็นเลเบลแผ่นเสียงที่ทำขึ้นมาเฉพาะกับ Eric Clapton จะมีพื้นเป็นสีเงินตัวพิมพ์สีดำ และรูปเป็ดใหญ่เป็นโลโก้อยู่กลางฉลาก โดยทั่วๆไปก็ใช้หมายเลขเรียงของ Warner Brothers
DUCK ALBUM DISCOGRAPHY
Number – Title – Artist – [Release Date] (Chart) Contents
7599-2 3773-1 – Money and Cigarettes – Eric Clapton [1983] (2/83, #16) Everybody Oughta Make A Change/The Shape You’re In/Ain’t Going Down/I’ve Got A Rock N’ Roll Heart/Man Overboard//Pretty Girl/Man In Love/Crosscut Saw/Slow Down Linda/Crazy Country Hop
7599-2 5186-1 – Behind the Sun – Eric Clapton [1985] She’s Waiting/See What Love Can Do/Same Old Blues/Knock On Wood/Something’s Happening/Forever Man/It All Depends/Tangled In Love/Never Make You Cry/Just Like A Prisoner/Behind The Sun
7599-2 5476-1 – August – Eric Clapton [1986] It’s In The Way That You Use It/Run/Tearing Us Apart [with Tina Turner]/Bad Influence/Walk Away/Hung Up On Your Love//Take A Chance/Hold On/Miss You/Holy Mother/Behind The Mask/Grand Illusion
7599-2 6074-1 – Journeyman – Eric Clapton [1989] Pretending/Anything For Your Life/Bad Love/Running On Faith/Hard Times/Hound Dog//No Alibis/Run So Far/Old Love/Breaking Point/Lead Me On/Before You Accuse Me
W1-26420 – 24 Nights – Eric Clapton [1991] Vinyl is available on Columbia House issue only. Badge/Running On Faith/White Room/Sunshine Of Your Love/Watch Yourself/Have You Ever Loved A Woman/orried Life Blues/Hoodoo Man//Pretending/Bad Love/Old Love/Wonderful Tonight/Bell Bottom Blues/Hard Times/Edge Of Darkness
ส่วนข้อความ BLUE NOTE RECORDS 767 LEXINGTON AVE NYC พิมพ์อยู่ในตำแหน่ง 3/4 นิ้วจากขอบฉลากตามโค้งเช่นกัน เลเบลรุ่นแรกนี้จะเป็นแผ่นค่อนข้างแข็งและหนัก ส่วนรุ่นหลังจากนี้จะเบากว่าและงอได้บ้างเล็กน้อย
อัลบั้มที่ออกมาในช่วงระหว่างนี้ เช่น :
Sidney Bechet. Blue Note Jazzmen with Wild Bill Davison. Sidney Bechet, soprano saxophone. Wild Bill Davison, cornet. Jimmy Archey or Ray Diehl, tuba. Art Hodes or Joe Sullivan, piano. George “Pops” Foster or Walter Page, bass. “Slick” Jones, drums. Blue Note BLP 7001 10″ (1951).
Bud Powell. Trio. Bud Powell, piano. Curley Russell, bass. Max Roach, drums. Blue Note BLP 1503 12″ (1951).
เลเบลที่ 2
เลเบลนี้เริ่มใช้ในปี 1958 จนถึง 1962 คล้ายกับเลเบลแรก แต่ต่างกันที่ข้อความที่อยู่บนเลเบลเปลี่ยนเป็น BLUE NOTE RECORDS · 47 WEST 63rd · NYC ระหัสเลขที่แผ่นมีทั้งนำหน้าด้วย BLP น่าจะมาจากคำว่า Blue Note LP หรือ BST น่าจะมาจากคำว่า Blue Note stereoใน issue หลังๆจะพบคำว่า INC เพิ่มอยู่หลังคำว่า RECORDS การบันทึกในแผ่นเลเบลนี้มีทั้ง monaural และ stereo
หนึ่งอัลบั้มในยุคเลเบลนี้ คือ :
John Coltrane. Blue Train. John Coltrane, tenor saxophone. Kenny Drew, piano. Paul Chamber, bass. Philly Joe Jones, drums. Dr. Rudy van Gelder, recording engineer. Blue Note BLP/BST (8)1577 (1958).
เลเบลที่ 3
เลเบลนี้ใช้ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1966 สังเกตที่คำว่า 33 1/3MICROGROOVE LONG PLAYING พิมพ์อยู่ตรงขอบฉลาก จะใช้สำหรับแผ่นที่บันทึกแบบ monaural แต่ถ้าพิมพ์คำว่า 33 1/3 STEREO LONG PLAYING เลเบลนี้จะใช้กับแผ่นที่เป็น stereo ส่วนข้อความที่อยู่(แอดเดรส)จะเป็น BLUE NOTE RECORDS INC · NEW YORK USA
หนึ่งอัลบั้มในยุคเลเบลนี้ คือ :
Dexter Gordon. Go. Dexter Gordon, tenor saxophone. Sonny Clark, piano. Butch Warren, bass. Billy Higgins, drums. Dr. Rudy van Gelder, recording engineer. Blue Note BLP/BST (8) 4112 (1962).
เลเบลที่ 4
เลเบลนี้ใช้ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1970 เหมือนกับเลเบลที่ 3 มีทั้ง 33 1/3MICROGROOVE LONG PLAYING สำหรับ monaural และ 33 1/3 STEREO LONG PLAYING สำหรับ stereo ต่างกันตรงที่อยู่(แอดเดรส)จะเปลี่ยนเป็น BLUE NOTE RECORDS · A DIVISION OF LIBERTY RECORDS, INC. เลเบลนี้ส่วนใหญ่จะเป็น re-issue เนื่องจากถูกซื้อกิจการไปแล้ว
หนึ่งอัลบั้มในยุคเลเบลนี้ คือ:
Jackie McLean. New and Old Gospel. Jackie McLean, alto saxophone. Ornette Coleman, trumpet. Lamont Johnson, piano. Scotty Holt, bass. Billy Higgins, drums. Dr. Rudy van Gelder, recording engineer. Blue Note BLP/BST (8) 4262 (1967).
เลเบลที่ 5
ใช้ในปี 1970 ถึงราวปี 1973 หมือนกับเลเบลยุคที่ 4 มีทั้ง mono และ Stereo ที่อยู่(แอดเดรส)บนฉลากได้เปลี่ยนไป เป็น BLUE NOTE RECORDS · A DIVISION OF UNITED ARTISTS RECORDS, INC. แผ่นยุคนี้เกือบทั้งหมดจะเป็น re-issue
หนึ่งอัลบั้มในยุคเลเบลนี้ คือ :
Donald Byrd. Electric Byrd. Donald Byrd, trumpet. Bill Campbell, trombone. Jerry Dodgion, alto and soprano saxophone and flute. Frank Foster, tenor and alto saxophone and flute. Lew Tabackin, tenor saxophone and flute. Hermeto Pascoal, flute. Pepper Adams, baritone saxophone and clarinet. Duke Pearson, piano. Wally Richardson, guitar. Ron Carter, bass. Mickey Roker, drums. Airto Moreira, percussion. Dr. Rudy van Gelder, recording engineer. Blue Note BST 84349 (1970).
เลเบลที่ 6
เลเบลนี้ไช้อยู่ในราวปี 1973 ถึง 1976 สีพื้นหลังฉลากจะเป็นสีน้ำเงินเข้มกรมท่า มีโลโก้ตัวอักษร b ที่มีรูปตัวโน้ตพิมพ์อยู่ที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกา คำว่า BLUE NOTE สีดำอยู่ใต้ blogo ระหัสหมายเลขแผ่นขึ้นต้นด้วย BST และมีข้อความ BLUE NOTE RECORDS-A DIVISION OF UNITED ARTIST RECORDS, INC. · MADE IN THE USA · ALL RIGHTS RESERVED สีดำพิมพ์อยู่บนขอบใน ตำแหน่ง 8 นาฬิกา ถึง 4 นาฬิกา ส่วนตัวพิมพ์นอกเหนือจากนี้จะเป็นสีเงิน แผ่นยุคนี้เป็น stereo และเป็นแผ่น re-release
เลเบลที่ 7
เลเบลนี้นำมาใช้ในราวปี 1977 ถึง 1978 เหมือนเลเบลที่ 6 แต่เปลี่ยนที่อยู่เป็น BLUE NOTE RECORDS · MANUFACTURED BY UNITED ARTIST MUSIC AND RECORDS GROUP INC. · LOS ANGELES CALIFORNIA · MADE IN THE USA
เลเบลที่ 8
เลเบลนี้ใช้ในระยะสั้นๆหลังปี 1970 สีพื้นหลังเกือบทั้งหมดเป็นสีดำ เฉพาะด้านซ้ายประมาณ 1 ใน 6 ของพิ้นที่ฉลากจะเป็นสีฟ้า มีโลโก้ Blue Note ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ในตำแหน่งซ้ายมือของรูแผ่นเสียง เส้นเดินกรอบเป็นสีดำ ส่วนตัวพิมพ์อื่นเป็นสีเงินยกเว้น LIBERTY UA. INC., LOS ANGELES CALIFORNIA เป็นสีขาว พิมพ์อยู่ในตำแหน่ง 7:30 น.ถึง 4:30 น. เป็น re-issue ทั้งหมด
เลเบลที่ 9
ใช้ในช่วงกลางปี 1970s พื้นฉลากจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม มีโลโก้อักษร b ในวงกลมสีดำตำแหน่ง 11 น. รูปตัวโน้ตพิมพ์ทับที่โลโก้ b มีคำว่า THE BLUE NOTE พิมพ์อยู่บนวงกลมสีดำ ส่วนคำว่า RE-ISSUE SERIES พิมพ์อยู่ด้านล่าง เป็นตัวอักษรสีขาว นอกจากนั้นเป็นตัวพิมพ์สีเงิน ระหัสเลขที่แผ่นจะเป็น BN มีข้อความ [Pdate] United Artists Music And Records Group, Inc. All Rights Reserved พิมพ์เป็น 3 บรรทัดอยู่ที่ด้านล่างตรงกลางฉลาก
Notes
Blue Note records on Label No. 1 have extremely fine sound and are beautifully made. This is particularly true of those with a circular groove pressed into the label 1 1/4 inch from the center of the disq. These pressings are known as ‘(Dennis Davis) Deep Groove’ Blue Notes and are sought after.
Blue Note Label No. 2 can also have extremely fine sound, though there is more variation in pressing quality than is found on the earlier Label No. 1.
Even Blue Notes of Label No. 3 can sound good, though their sound quality varies greatly. A clue to this Label’s better-sounding disqs is the imprint RVG or VAN GELDER which is found stamped between the last groove and the label, in the lead-out area. This imprint is sometimes found on Label No. 3, and it indicates that the disq was mastered by Dr. Rudy van Gelder. It also indicates that the disq was pressed from an older stamper. Often this stamper has been overused, and its pressing is rough and noisy. Only through playing the record in question can its quality be determined.
Blue Note’s new label designs do not seem to have been placed on the new disqs as promptly as Columbia or RCA changed graphics on their new records. Blue Note does not seem to have changed its labels as efficiently as the majors did. I have, for instance, found labels of adjacent periods affixed to the same record. I have recently seen a Sidney Bechet record with Label No. 1b on one side and Label No. 1c on the other. I have also seen Dexter Gordon’s Doin’ Allright with Label No. 2a on side one and Label No. 2b on side two. I have also seen a later label carelessly glued over an earlier one.
This mixing of labels, however, is not common, and these records are rare. Though oddities, they should command higher prices than the same record with identical labels on both sides.
Blue Note records, particularly Labels No. 1 and No. 2a, are as close to art as the recording process comes.
The ‘Blue Note sound’ is very much influenced by Rudy van Gelder’s recording style. He often gives us a recording and music of a ‘blowing session.’ The structure of the recording and that of the music is simple. Both provide a basic framework for improvised solos. In the music, the ‘tune’ or theme is first introduced by the lead soloist. The piece from then on is made up of the players improvising on this theme. Excitement comes largely from the musicians’ creative imagination, that is, from the way they improvise their solos. Van Gelder’s recording is constructed to best present this. The performance setting is often a smallish one which convincingly portrays musicians playing after hours. As in the music, the recording features the soloists. Van Gelder often places some soloists well forward on the left, with other soloists on the right and forward. The members of the rhythm section are usually placed back and toward the center. This arrangement of musicians serves the music well. This arrangement is very much the signature of Rudy van Gelder, and with it he beautifully captures ‘the session.’
Jazz, especially the creating of jazz, is intimately linked with the LP. As an improvisational form, jazz has little written literature. Naturally there are written arrangements, and much jazz follows written or implied progressions. But, jazz’s essence, improvisation, is fleeting. Recording, particularly with the LP, has captured this essence and preserved it. Fortunately, many of the most creative forces in jazz recorded regularly, making their work available not only to those who could see and hear them in clubs, but to all who could hear a record. Jazz’s movements and changes could be heard through the recording sessions: the LP preserved great solos, compositions and ensembles for all to hear. History then, has chosen the LP as the instrument that has captured jazz’s fleeting moments-its essence-improvisation.