ประวัติ A & M Records
A & M Records ก่อตั้งโดย Herb Alpert และ Jerry Moss ในปี 1962 ที่ Los Angeles California เริ่มกิจการจากที่ไม่มีอะไรมาก่อน ด้วยเงินของทั้ง 2 คนรวมกันเพียง 200 dollars บันทึกเพลงประเภท pop music เพียงอย่างเดียวในช่วงเริ่มแรก จนกระทั่งต่อมาจึงมีกลุ่มร๊อคของอังกฤษ และอเมริกันเข้าในสังกัด เขาทั้งคู่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งและยืนอยู่ในธุรกิจแผ่นเสียงด้วยตัวของตัวเอง จนกระทั่งในปี 1989 จึงได้ขายไปให้กับ PolyGram เป็นจำนวนเงินถึงครึ่งล้าน dollars
Herb Alpert เกิดเมื่อ 31 มีนาคม ปี 1935 ในเมือง Los Angeles California เป็นลูกชายคนที่ 2 ของ Louis Alpert (เชื้อสายรัสเซีย) มีความช่ำชองในการเล่น mandolin ส่วนภรรยาของ Louis ชื่อ Tillie ชอบเล่น violin พี่ชายของ Herb ชื่อ David ชอบตีกลอง แต่ Herb กลับไม่มีความสนใจในดนตรีเลย จนกระทั่งอายุได้ 8 ขวบ เขาขอเบิกเงินไปเช่า trumpet มาเล่น พ่อแม่รู้เข้าเลยส่งเสริมเป็นการใหญ่ จ้างนักเป่า jazz trumpet ชื่อ Harold “Pappy” Mitchell ให้มาสอนให้ และเมื่ออายุได้ 13 ปี Herb ได้รับการฝึกสอนจาก Ben Klazkin มือทรัมเป็ตอันดับหนึ่งของ San Francisco Symphony เป็นผู้ที่พยายามส่งเสริมให้เขาเป็นนักดนตรีคลาสสิก แต่ฝึกได้ไม่นานเขาก็เบื่อแนวเพลงคลาสสิก จนเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้จัดตั้งรวมตัวเป็นกลุ่มนักดนตรี ชื่อว่าวง the Colonial Trio ประกอบไปด้วยมือกลอง ทรัมเป็ต และนักเปียโน หลังจากฝึกปรือจนเชี่ยวชาญแล้ว วงนี้ก็ได้รับชัยชนะในการเข้าร่วมการแข่งขัน TV talent contest program
Alpert เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Southern California และเป็นนักดนตรีตัวหลักของมหาวิทยาลัย แต่หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เขาก็ถูกส่งเข้าประจำการทหารใน Fort Ord ที่ Monterey California เขาเป่าทรัมเป็ตได้ประทับใจของกองทัพ จนกระทั่งทางกองทัพให้เขาจัดตั้งวงมาร์ชขึ้น ระหว่างที่อยู่ในกองทัพ ได้แต่งงานกับคนรักสมัยที่เคยเรียนอยู่ high school ด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มมาสนใจในดนตรีแจ๊ซ โดยชอบฟังการเล่นของ Clifford Brown, Charlie Parker และ Miles Davis หลังจากที่ปลดประจำการจากกองทัพในปี 1956 เขาก็กลับมาที่ Los Angeles ตั้งวงดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่งเล่นตามงาน บอลล์ และงานปาร์ตี้ตามโรงแรม สม่ำเสมอเรื่อยมา
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาเริ่มเขียนบทเพลง และก็บังเอิญได้พบกับ Lou Adler ซึ่งเป็นคนที่เคยขายประกันชีวิตให้เขา คนผู้นี้ได้ปรารภกับ Herb Alpert ว่า ชอบเขียนบทกวี และอยากจะเป็นนักแต่งเนื้อเพลงอาชีพ ทั้ง 2 คนก็เลยร่วมกันแต่งเพลง เพลงแรกที่ออกจำหน่ายคือ “Circle Rock” บันทึกโดย Keen records ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี จนต่อมาในปี 1959 Keen records จึงรับ Alpert และ Adler เข้าเป็นพนักงานร่วมทีมประพันธ์เพลงของบริษัทด้วยค่าจ้าง $35 ต่อสัปดาห์ เขาได้ร่วมกันแต่งเพลงให้กับศิลปินในสังกัด Keen recording คือ Sam Cooke และประสบความสำเร็จระดับหนึ่งด้วยเพลง “All of My Life” และที่ประสบผลสำเร็จมากคือเพลง “Wonderful World” ต่อมา Cooke ได้ลาออกจาก Keen ไปอยู่ในสังกัด RCA, Alpert และ Adler ก็ลาออกจาก Keen records เช่นกัน ไปจัดตั้งเป็นบริษัทผลิตเพลงของตนเอง เขาผลิตผลงานเพลงของศิลปิน Jan และ Dean โดยไปผลิตที่ Dore Records แต่เมื่อ Jan และ Dean ถูกซื้อตัวไปโดยค่าย Challenge (และต่อมาก็ไปยังLiberty records) Alpert และ Adler จึงไม่มีศิลปินเหลือให้ผลิตผลงานอีก จากจุดนี้เองเขาทั้งสองก็ตัดสินใจแยกจากกันอย่างฉันเพื่อน
Adler ก่อตั้ง Dunhill Records ในปี 1964 ทำเงินได้มหาศาลจากการขายภายในไม่กี่ปี และหลังจากนั้นก็มาเริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Ode label
ส่วน Herb Alpert มีภรรยาและเพิ่งได้ลูกชายซึ่งเขาต้องรับภาระเลี้ยงดู เลยไปรับงานเป็นครูฝึกสอนกรีฑา และพยายามจะเข้าเป็นนักแสดงกับ Paramount เขาได้เข้าศึกษาวิชาการแสดง ขณะเดียวกันก็แต่งเพลงไปด้วย แต่ไม่ประสบผลสำเร็จสักเท่าไร จนถึงกับจะยอมแพ้ และเตรียมหางานประจำทำเป็นงานหลักต่อไป
ในปี 1961 Jerry Moss เป็นผู้หนึ่งที่ประสบผลสำเร็จในวงการบันทึกเสียงและยังเป็นนักการตลาดตัวยง ได้พบกับ Herb Alpert และด้วยความประทับใจกับการเล่นทรัมเป็ตของ Herb เขาจึงว่าจ้างขอให้เล่นเพลงที่จะผลิตขึ้นมาชื่อว่า “Love Is Back In Style” Herb รู้สึกซาบซึ้งถึงกับมอบเพลงที่เขาแต่งไว้ชื่อ “Tell It To the Birds” ให้ไปด้วย ต่อมาทั้งคู่จึงตกลงเป็นหุ้นส่วนกันโดยร่วมทุนครั้งแรกคนละ $100 ตั้งชื่อว่า Carnival Records ต้นปี 1962 ได้ออกอัลบัม Carnival 701 “Tell It To the Birds” และได้สร้างความประทับใจให้กับ Dot Records จนขอซื้อ master ไปเป็นเงิน $750 และผลิตออกจำหน่ายภายใต้ Dot label
Herb Alpert นำเงินที่ได้จาก Dot ไปตกแต่งห้องสตูดิโอในโรงรถเขาที่บ้านเลขที่ 419 Westbourne Drive จากนั้น Moss และ Alpert ก็เริ่มงานชิ้นแรกในเพลง “Twinkle Star” แต่งโดยเพื่อนชื่อ Sol Lake ซึ่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีวงหนึ่ง ก่อนจะเริ่มงานเขาทั้งสองหยุดพักผ่อนไปดูกีฬาชนวัวกระทิงที่ Tijuana Mexico ได้ยินเพลงจากวง Mariachi band ที่บรรเลงอยู่ที่นั่น ทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาทันที ที่จะใช้เพลง “Twinkle Star” เพิ่มเข้าไป โดยให้ Alpert เป่า trumpet ซึ่งจะไปเพิ่มเสียง trumpet อีกหนึ่งชิ้น(เดิมก็มีอยู่แล้ว)ทับไปบนเพลงเดิม แต่ให้เสียงเหลื่อมกันเล็กน้อย Alpert เรียกว่า “Spanish Flair” ทำให้เพลง “Twinkle Star” ฟังแล้วรู้สึกคล้ายๆกับฟังจากวง Mariachi
Jerry Moss ได้ตั้งชื่อเพลงใหม่นี้ว่า “The Lonely Bull” ส่วนวิศวกรฝ่ายผลิต Ted Keep ได้เพิ่มเสียงของกระดิ่งวัวกระทิงเป็น sound effects ลงไปอีก และแล้ว “The Lonely Bull” โดย Herb Alpert และ the Tijuana Brass ก็พร้อมที่จะออกตลาดในเดือน สิงหาคม ปี 1962 แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องชื่อบริษัท ไม่สามารถใช้ชื่อ Carnival ได้ เพราะมีบริษัทแผ่นเสียงอื่นใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งคู่จึงเปลี่ยนชื่อใหม่โดยเอาอักษรนำหน้านามสกุลของทั้งสองมาเป็นชื่อบริษัทแทนว่า A & M Records
ในเดือนตุลาคม อัลบั้ม “The Lonely Bull” ได้ไต่ขึ้นอันดับชาร์ทเพลงจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพลงนี้ติดอันดับของ Top 10 ขายไปกว่า 700,000 แผ่น และไม่นาน A & M records ก็มี 2 อัลบั้มที่ติดชาร์ทยอดขายสูงสุด คือ The Lonely Bull และ Herb Alpert’s Tijuana Brass, Volume 2 จากนั้นสำนักงานของ A & M Records ย้ายออกจากโรงรถไปอยู่ที่ 8255 Sunset Boulevard ใน Hollywood
แนวดนตรีของ Alpert จัดว่าอยู่ในสายกลาง ๆ ฟังได้ทั้งผู้สูงอายุ และผู้นิยมเพลงป๊อปกลุ่มใหญ่(ในกลุ่มที่ไม่ชอบแนวเพลงร๊อกที่หนักหน่วง) เพื่อเป็นการรักษายอดขายให้คงอยู่ ทำให้ต้องออกทัวร์แสดงดนตรีและออกโชว์ตัวทางทีวี ในการออกแสดงนี้ได้ทำให้เพลงของเขาฮิตเพิ่มขึ้นอีก 2 เพลงคือ “The Mexican Shuffle” และ “A Taste of Honey” ผลักดันให้ Tijuana Brass ทั้ง 3 albums ขึ้นติด chart พร้อมกันในปี 1965 และในปีเดียวกัน Alpert ก็ได้รับรางวัล Grammy awards ถึง 4 รางวัล ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 1966 album ที่ 5 ของเขาชื่อ Going Places ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 1 และอีก 4 albums ต่างก็อยู่ในลำดับ Top Twenty ทำให้แผ่นเสียงเขาขายได้ถึง 13 ล้านแผ่นอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนั้นในปี 1968 อัลบัม “This Guy’s In Love With You” ซึ่งเป็นแผ่น single จากเพลงร้องของ Alpert ก็ได้ติดอันดับหนึ่งอีกด้วย
จากความสำเร็จของ Tijuana Brass ได้สร้างรายได้เป็นฐานการเงินให้แก่ A & M ผลิตอัลบั้มอื่นออกตามมาอีก จากศิลปินต่าง ๆที่อยู่ในสังกัดช่วงกลาง ยุค ’60 เช่น Baja Marimba Band, Sergio Mendes & Brasil ’66, Chris Montez, Claudine Longet, the Sandpipers และ We Five อัลบัมของศิลปินเหล่านี้ต่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างความยิ่งใหญ่แก่ A & M จนกระทั่งในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 1966 จึงได้ย้ายที่ทำการใหม่ ไปยัง Charlie Chaplin movie studio ที่ La Brea และ Sunset Boulevard
A & M ได้เตรียมเงินทุนออกทัวร์คอนเสิร์ต Joe Cocker ใช้ชื่อว่า “The Mad Dogs and Englishmen Tour” (หลังจากที่ประสบความสำเร็จในงาน Woodstock) และอัลบั้ม Mad Dogs and Englishmen ขายไปได้กว่าล้านแผ่น
ระหว่างปี 1970 ถึง 1980 A & M เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง รับศิลปินเข้ามาในสังกัดมากมาย ทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง rhythm & blues singers, comedy acts และกลุ่มร๊อคเช่น Styx และ Supertramp อัลบั้ม Frampton Comes Alive! โดยนักร้อง Peter Frampton ในสังกัด ขายได้มากกว่า 10 ล้านแผ่นในปี 1976 นอกนั้นยังมี Carpenters, Cat Stevens, Carole King (ใช้เลเบลของ Lou Adler’s Ode ฃึ่ง A & M เป็นผู้จัดจำหน่าย), Quincy Jones, Captain and Tennille, Bryan Adams(นักร้องและนักแต่งเพลงชาวแคนาดา), the Police, Sting, Amy Grant and Janet Jackson
Herb Alpert ยังประสบความสำเร็จจากแผ่น single ที่ผสมแนวดนตรี disco อ่อนๆ ชื่ออัลบั้ม “Rise” ขายได้กว่า 1 ล้านแผ่น และได้รับรางวัล Grammy award ครั้งที่ 7 สำหรับแนวดนตรี best pop instrumental performance แห่งปี
หลังจากที่ได้คลุกคลีบริหารบริษัท A & M มาเป็นเวลานานถึง 27 ปี Alpert และ Moss ได้ตกลงกันขายกิจการให้กับ PolyGram Corporation ในเดือนมิถุนายนปี 1989 เป็นเงินถึง 500 ล้านดอลล่า นับว่าได้ผลตอบแทนที่งดงาม จากการเริ่มต้นลงทุนเพียง 200 ดอลล่า
ในปี 1998 PolyGram รวมตัวเข้าไปอยู่ใน Universal Music Group จนกระทั่งในเวลาต่อมา เจ้าของ Universal คือ Segrams ตัดสินใจตัดรายจ่าย โดยปลดพนักงานของ A&M ออกทั้งหมดในวันที่ 21 มกราคมปี 1999 เหลือไว้แต่ความภาคภูมิใจ ว่า ครั้งหนึ่งในอดีต เลเบลนี้ เคยยิ่งใหญ่ไม่ได้น้อยหน้า เลเบลใด
- เพิ่มเติมเกี่ยวกับ A&M Records จาก Wiki
- สนใจหาแผ่นเสียงมือสอง A&M Records? ลองดูในบอร์ดซื้อขายแผ่นเสียงที่นี่
A&M Album Discography
เลเบลแรกของ A&M ใช้กับแผ่นหมายเลข LP 100/SP 4100 และ LP 101/SP 4101. ตัวอักษรในฉลากเป็นสีน้ำตาล มีชื่อ A&M อยู่บนสุด. เหมือนกับฉลากของอัลบัม “The Lonely Bull” โดย Herb Alpert’s Tijuana Brass.
ช่วงที่ออกอัลบัมแผ่นที่ 3 ก็ได้เปลี่ยนแปลงฉลากเป็นรุ่นที่ 2 พื้นฉลากเป็นสีน้ำตาล มีโลโก อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ในตำแหน่งด้านบนของฉลาก
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆต่อมา ก็เปลี่ยนแปลงใหม่ โดยย้ายโลโกไปอยู่ในตำแหน่งด้านซ้ายมือ รูปแบบฉลากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งที่ 3 นี้ ใช้ต้นเป็นแบบของฉลากรุ่นต่อๆมาตั้งแต่ปี 1964 จนถึงกลางปี 1970
ฉลากที่ใช้กับแผ่นโปรโมชั่นของเลเบลรุ่นที่ 3 นี้ จะมีพื้นสีขาว ตัวพิมพ์สีดำ บางแผ่นจะมี โลโกภายในกรอบ สี่เหลี่ยม แต่บางแผ่นจะไม่มีกรอบ
ฉลากรุ่นนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปี 1988
ฉลากรุ่นนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1988 จนกระทั่งขายให้กับ Polygram ซึ่งก็ยังคงใช้ฉลากรุ่นนี้ต่อ ส่วนพื้นสีขาวเป็นเลเบลแผ่นโปรโมชั่น
บทความนี้ เขียนโดย ลุงพง จากเว็บไทยแกรมโมโฟน ท่านสามารถส่งต่อ แชร์ ได้ไม่หวงห้าม หากแต่ให้เครดิตว่ามาจาก ลุงพง หรือ เว็บไทยแกรโมโฟน จักเป็นพระคุณยิ่ง