ประวัติ และ วิธีดู เลเบลแผ่น Elektra Records โดย ลุงพง
Quote from Webmaster Thaigramophone on April 4, 2021, 12:05 pmประวัติความเป็นมา Elektra Records
ผู้เริ่มก่อตั้ง Elektra Records คือ Jac Holzman ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.1950, ที่เมือง New York City. เริ่มต้นด้วยการบันทึกดนตรีประเภท folk music, ethnic music (เกี่ยวกับประเพณีพื้นเมืองดั้งเดิม), jazz และ gospel (เพลงสวดในโบสถ์) โดยต่อมาภายหลังมีการขยายไปถึงเพลงประเภท blues, pop, และ rock music.
Jack Holzman เกิดเมื่อเดือนกันยายนปี 1931 ที่เมือง New York ครอบครัวมีฐานะเป็นคนชั้นกลาง โดยบิดาเป็นนายแพทย์ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ เขามักขัดแย้งรุนแรงกับวิถีความเป็นอยู่ของครอบครัว และได้หนีออกจากบ้านหลายครั้ง เมื่ออายุ 12 ปี เคยหนีไปไกลสุดถึงเมือง Trenton, New Jersey, และซุกตัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกหาจนพบและถูกพากลับบ้านไป ครอบครัวเขามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงระดับสุดยอด (state-of-the-art ) และ Jac ก็คลุกอยู่กับดนตรีและฟังวิทยุ เขามีย่าเป็นชาวยิวชื่อ Estelle Stenberger เป็นหัวหน้ากลุ่มของ the National Council of Jewish Women เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการเมืองออกอากาศที่สถานีวิทยุ WQXR. Jac ก็ได้ติดตามย่าไปที่สถานีวิทยุ จนเกิดความสนใจด้านอีเล็คโทรนิคถึงขั้นผลิตเครื่องรับวิทยุแบบใช้แร่ขึ้น แต่แล้วก็ถูกส่งตัวไปเรียนที่ Peekskill Military Academy เป็นเวลา 2 ปี ในปี 1946 เขาตื้อพ่อให้ซื้อเครื่องบันทึกแผ่นเสียงให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ 15 ปีจนสำเร็จ เป็นเครื่องยี่ห้อ Meissner ระดับกึ่งมืออาชีพ.
Jac จบ high school ด้วยวัย 16 ปี และเข้าเรียนต่อที่ St. John's College ใน Annapolis, Maryland. เขาไม่สนใจในชั้นเรียน จึงขาดเรียนเสมอ แต่ไปขลุกตัวเองอยู่ในห้องแล๊ปอีเล็กโทรนิค ใช้เวลาไปกับการทดลอง ในปี 1950 ที่วิทยาลัยแห่งนี้ Jac มีโอกาศได้เข้าฟังการบรรยายด้านดนตรีโดย Banister. ในเรื่องการสร้างดนตรีจากกลอนของ Rilke, Holderlin และ e.e. cummings, โดย John Gruen. เป็นผู้ประพันธ์ดนตรี Jac จึงเกิดความรู้สึกว่าดนตรีนี้มีค่าควรแก่การบันทึกเก็บไว้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มธุระกิจการบันทึกเสียงขึ้นด้วยตนเอง โดยขอร้องให้ Banister และ Gruen มาร่วมเป็นศิลปินให้ และในวันที่ 10 ตุลาคม 1950, Jac ก็ตัดสินใจใช้คำว่า Elektra เป็นชื่อบริษัท ตอนเริ่มแรกก็ย่ำแย่ไม่ประสบความสำเร็จ แค่อัลบัมแรก EKLP-1.ซึ่งบันทึกเพลงใหม่ของ John Gruen ก็ถูกส่งคืนจากตัวแทนจำหน่ายเกือบหมด จนกระทั่งมาอัลบัมที่ 2 Elektra LP [EKLP-2] เป็นแผ่น 10 นิ้ว เพลงร้องของ Jean Ritchie อัลบัม Jean Ritchie Singing the Traditional Songs of Her Kentucky Mountain Family. ได้รับคำชมจากการวิจารณ์ และขายได้ถึง 2000 copies.
หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จจากอัลบัมของ Ritchie, Jac ก็ลงทุนซื้อชุดเครื่องบันทึกเป็นของตนเอง มีเครื่องเทป Magnecord PT-6 และ Electro-Voice Hammerhead microphone. และยังคงบันทึกอัลบัมเพลงประเภท folk albums ต่อไปอีกโดยมี Frank Warner, Shep Ginandes, Cynthia Gooding, Hally Wood และ Tom Paley เป็นศิลปินในปี 1952 และ 1953. พอมาถึงปี 1954, Elektra ก็ออกอัลบัมแรกที่เป็นประเภท blues โดยมี Sonny Terry and Brownie McGhee., Jac ย้ายที่ทำการบริษัทมาที่ 361 Bleecker Street.
ในปี 1955 Jac ได้พบกับ Theodore Bikel และได้ปั้นให้เป็นนักร้องโดยบันทึกในแผ่น 10” album [EKL-32] titled Folk Songs of Israel เป็นอีกอัลบัมที่ประสบความสำเร็จอย่างดี
ต่อมาได้เซ็นสัญญารับ Josh White, เข้าในสังกัดซึ่งเป็นนักร้องหลักที่ร้องเพลงประเภท folk
Elektra ยังคงขยายงานต่อโดยในปี 1961 ได้เซ็นสัญญากับ Judy Collins และออกอัลบัมแรก A Maid of Constant Sorrow [EKL-209], ขายได้ถึง 5 พัน copies. แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณว่าเสียงร้องเหมือนเลียนแบบมาจาก Joan Baez แต่ Holzman ก็ยังคงออกอัลบัมของเธอต่อไป Golden Apples of the Sun [EKL-222]. และประสบความสำเร็จด้วยดี
ในปี 1963 Jac เริ่มความคิดที่จะออกอัลบัม classical music ให้มีราคาถูกในระดับที่ผู้คนจะหาซื้อได้โดยง่าย เขาใช้เลเบลชื่อ Nonesuch เพื่อสื่อความหมายว่า "Quality Recordings at the Price of a Quality Paperback". แผ่น Nonesuch ภายใต้ Electra record ตั้งราคาขายแค่ $2.50 ครึ่งราคาของราคาขายแผ่น classical ทั่วไป ทำให้จำหน่ายได้ดี สร้างรายได้ให้แก่ Electra อย่างมั่นคงในปี 1966, Jac ได้ศิลปินวง the Doors เข้าในสังกัด ได้ออกอัลบัม"Light My Fire" ที่ติดอันดับ 1 ใน pop charts ปี 1967 กลายเป็นแผ่น single. แรกของ Electra ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจนกระทั่งในระยะเวลาต่อมาอีก 30 ปี อัลบัมของ the Doors ได้จำหน่ายไปถึงมากกว่า 45 ล้านแผ่น จากความสำเร็จนี้ Elektra ได้เปลี่ยนแนวดนตรีจาก Folk label มาเป็นเพลงแนว rock แทน และตัดสินใจสร้างสำนักงานที่ west coast พร้อมกับสร้าง Studio ระดับ state-of- the-art ที่ 962 North La Cienega Boulevard. Elektra แม้ว่าตะประสบความสำเร็จจาก the Doors, Judy Collins, Tim Buckley และวง Bread. แต่ธุรกิจแผ่นเสียงได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม Jac รู้ตัวดีว่าค่ายเพลงอิสระที่ไม่ใหญ่พอไม่สามารถที่จะยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เขาจึงมีความตั้งใจจะไปรวมตัวกับค่ายเพลงที่อยู่มายาวนานเช่น Columbia, RCA, Decca หรือ Capitol. แต่พอดีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1967, Warner Brothers ซื้อกิจการของ Atlantic Records, ซึ่งเกิดพร้อมๆกับ Elektra. Jac จึงเข้าเจรจาขายกิจการให้กับ Warner Brothers ในราคา 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และตัวเขาเองก็เกษียนตนเองในขณะอายุ 42 ปี ไปอยู่ที่ Hawaii.
ระหว่างช่วงปลายทศวรรษ '70s Elektra ได้เพิ่มศิลปินในสังกัด โดยประเภท pop ก็มี Neil Sedaka, Tony Orlando & Dawn, Sparks, the Cars ฯลฯ ประเภท country ก็มี Eddie Rabbitt และ Jerry Lee Lewis ฯลฯ ประเภท heavy rock ก็มีวง Queen และประเภท soul and funk ก็มี Patrice Rushen และ Donald Byrd. Elektra Records และ Asylum Records ได้รวมตัวกันในปี 1974. ทุกวันนี้ Elektra ยังคงดำเนินกิจการโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Time-Warner Communications
Elektra Album Discography
แผ่น 10 นิ้วยุคแรก (1951-1956)
ไม่เหมือนกับค่ายแผ่นเสียงอื่นที่ออกแผ่นเสียงยุคแรกๆช่วงต้นทศวรรษ 1950s, จะเป็นแผ่น 10” แต่ของ Electra แผ่นแรกกลับเป็นแผ่น 12” ออกในปี 1951. ส่วนแผ่น 10” มาออกเริ่มตั้งแต่แผ่นที่ 2
เลเบลในยุคแรกจะมีพื้นสีขาว ตัวพิมพ์สีเขียว หรือ สีน้ำเงิน โลโก้ของ Elektra เป็นตัวเขียนอยู่ในรูปวงรี มีข้อความ "Hi-Fidelity" อยู่ด้านซ้าย และ "Long Playing" อยู่ด้านขวาของโลโก้ รูปแบบโดยรวม ออกแบบให้ดูเหมือนรูป atom โดยมีอีเล็คตรอนอยู่รอบ และแผ่รังสีพลังงานออกมาจากใจกลาง เลเบลนี้ใช้มาจนถึงกลางทศวรรษ 1960 มีหมายเลขแผ่นเริ่มที่ EKLP-1 SeriesEKL-100/EKS-7100 Series (1956-1971)
เลเบลยุคที่ 2 เริ่มใช้ในปี 1960 มีพื้นสีเทา ตัวพิมพ์สีดำ โลโก้เปลี่ยนใหม่เป็นรูปกราฟฟิคคนนั่งเล่นกีต้าอยู่ในพื้นวงกลมสีแดง โลโก้นี้อยู่ด้านบนข้างขวาของฉลากโดยมีเส้นเหมือนรังสีสีเหลืองพุ่งไปด้านบนและล่างทางขวาของโลโก้ มีข้อความตัวเขียนสีขาวว่า "The Sound of Quality" อยู่ด้านซ้ายมือของโลโก้ และด้านล่างสุดของฉลากมีข้อความสีขาวของ copyright statement
เลเบลรุ่นที่ 3 ใช้มาตั้งแต่ปี 1961 จนถึงต้นปี 1966 จะมีพื้นสีทองมีขอบรูปฟันปลาโดยรอบวงกลมของฉลาก รูปโลโก้สีขาวนักเล่นกีต้ามีขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ในตำแหน่งกลางเหนือรูแผ่นเสียง ด้านบนสุดของฉลากมีข้อความ "Outstanding High Fidelity Recordings." สีขาวโค้งตามขอบฉลาก
เลเบลรุ่นที่ 4 ใช้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1966 จนถึงสิ้นสุดของซีรี่นี้ (EKS-7100 Series) รูปโลโก้เปลี่ยนไปเป็นอักษร E รูปแบบไสตร์ block letter และมีข้อความ "elektra" อยู่ติดด้านล่าง โลโก้นี้อยู่ในตำแหน่งกลางเหนือรูแผ่นเสียง สีฉลากมีทั้งสีน้ำตาล(tan) หรือสีทอง (Gold) จนถึง silver-grey
ต่อมาปลายฤดูร้อนของปี 1969 เลเบลของ Elektra เปลี่ยนสีพื้นเป็นสีแดง แต่ยังคงรูปแบบเดิม ฉลากรุ่นนี้ใช้มาจนกระทั่งถึงปลายฤดูร้อนของปี 1970.
ในราวเดือนกันยายน ปี 1970 รูปแบบเลเบลได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง เป็นรูปแบบใหม่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง สีพื้นจะเป็น multicolor และมีรูปผีเสื้ออยู่ด้านขวาของรูแผ่นเสียงและติดกับโลโก้รูปแบบเดิมของ Electra
สำหรับแผ่นแจกเพื่อส่งเสริมการขาย Promotional copies จะมีพื้นสีขาวแทนโดยรูปแบบเหมืนเดิม
เริ่มตั้งแต่ต้นปี 1982 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รูปแบบเลเบลได้เปลี่ยนไปอีกโดยสิ้นเชิง มีพื้นสีดำ-แดง ตามรูป
บทความนี้ เป็นของ ลุงพง จากเว็บไทยแกรโมโฟน ไม่หวงห้ามในการส่งต่อแบ่งปัน เพียงกรุณาให้เครดิตต้นทาง ลุงพง และ เว็บไทยแกรมโมโฟน จักขอบคุณยิ่ง
ประวัติความเป็นมา Elektra Records
ผู้เริ่มก่อตั้ง Elektra Records คือ Jac Holzman ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.1950, ที่เมือง New York City. เริ่มต้นด้วยการบันทึกดนตรีประเภท folk music, ethnic music (เกี่ยวกับประเพณีพื้นเมืองดั้งเดิม), jazz และ gospel (เพลงสวดในโบสถ์) โดยต่อมาภายหลังมีการขยายไปถึงเพลงประเภท blues, pop, และ rock music.
Jack Holzman เกิดเมื่อเดือนกันยายนปี 1931 ที่เมือง New York ครอบครัวมีฐานะเป็นคนชั้นกลาง โดยบิดาเป็นนายแพทย์ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ เขามักขัดแย้งรุนแรงกับวิถีความเป็นอยู่ของครอบครัว และได้หนีออกจากบ้านหลายครั้ง เมื่ออายุ 12 ปี เคยหนีไปไกลสุดถึงเมือง Trenton, New Jersey, และซุกตัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกหาจนพบและถูกพากลับบ้านไป ครอบครัวเขามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงระดับสุดยอด (state-of-the-art ) และ Jac ก็คลุกอยู่กับดนตรีและฟังวิทยุ เขามีย่าเป็นชาวยิวชื่อ Estelle Stenberger เป็นหัวหน้ากลุ่มของ the National Council of Jewish Women เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการเมืองออกอากาศที่สถานีวิทยุ WQXR. Jac ก็ได้ติดตามย่าไปที่สถานีวิทยุ จนเกิดความสนใจด้านอีเล็คโทรนิคถึงขั้นผลิตเครื่องรับวิทยุแบบใช้แร่ขึ้น แต่แล้วก็ถูกส่งตัวไปเรียนที่ Peekskill Military Academy เป็นเวลา 2 ปี ในปี 1946 เขาตื้อพ่อให้ซื้อเครื่องบันทึกแผ่นเสียงให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ 15 ปีจนสำเร็จ เป็นเครื่องยี่ห้อ Meissner ระดับกึ่งมืออาชีพ.
Jac จบ high school ด้วยวัย 16 ปี และเข้าเรียนต่อที่ St. John's College ใน Annapolis, Maryland. เขาไม่สนใจในชั้นเรียน จึงขาดเรียนเสมอ แต่ไปขลุกตัวเองอยู่ในห้องแล๊ปอีเล็กโทรนิค ใช้เวลาไปกับการทดลอง ในปี 1950 ที่วิทยาลัยแห่งนี้ Jac มีโอกาศได้เข้าฟังการบรรยายด้านดนตรีโดย Banister. ในเรื่องการสร้างดนตรีจากกลอนของ Rilke, Holderlin และ e.e. cummings, โดย John Gruen. เป็นผู้ประพันธ์ดนตรี Jac จึงเกิดความรู้สึกว่าดนตรีนี้มีค่าควรแก่การบันทึกเก็บไว้ เขาจึงตัดสินใจเริ่มธุระกิจการบันทึกเสียงขึ้นด้วยตนเอง โดยขอร้องให้ Banister และ Gruen มาร่วมเป็นศิลปินให้ และในวันที่ 10 ตุลาคม 1950, Jac ก็ตัดสินใจใช้คำว่า Elektra เป็นชื่อบริษัท ตอนเริ่มแรกก็ย่ำแย่ไม่ประสบความสำเร็จ แค่อัลบัมแรก EKLP-1.ซึ่งบันทึกเพลงใหม่ของ John Gruen ก็ถูกส่งคืนจากตัวแทนจำหน่ายเกือบหมด จนกระทั่งมาอัลบัมที่ 2 Elektra LP [EKLP-2] เป็นแผ่น 10 นิ้ว เพลงร้องของ Jean Ritchie อัลบัม Jean Ritchie Singing the Traditional Songs of Her Kentucky Mountain Family. ได้รับคำชมจากการวิจารณ์ และขายได้ถึง 2000 copies.
หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จจากอัลบัมของ Ritchie, Jac ก็ลงทุนซื้อชุดเครื่องบันทึกเป็นของตนเอง มีเครื่องเทป Magnecord PT-6 และ Electro-Voice Hammerhead microphone. และยังคงบันทึกอัลบัมเพลงประเภท folk albums ต่อไปอีกโดยมี Frank Warner, Shep Ginandes, Cynthia Gooding, Hally Wood และ Tom Paley เป็นศิลปินในปี 1952 และ 1953. พอมาถึงปี 1954, Elektra ก็ออกอัลบัมแรกที่เป็นประเภท blues โดยมี Sonny Terry and Brownie McGhee., Jac ย้ายที่ทำการบริษัทมาที่ 361 Bleecker Street.
ในปี 1955 Jac ได้พบกับ Theodore Bikel และได้ปั้นให้เป็นนักร้องโดยบันทึกในแผ่น 10” album [EKL-32] titled Folk Songs of Israel เป็นอีกอัลบัมที่ประสบความสำเร็จอย่างดี
ต่อมาได้เซ็นสัญญารับ Josh White, เข้าในสังกัดซึ่งเป็นนักร้องหลักที่ร้องเพลงประเภท folk
Elektra ยังคงขยายงานต่อโดยในปี 1961 ได้เซ็นสัญญากับ Judy Collins และออกอัลบัมแรก A Maid of Constant Sorrow [EKL-209], ขายได้ถึง 5 พัน copies. แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณว่าเสียงร้องเหมือนเลียนแบบมาจาก Joan Baez แต่ Holzman ก็ยังคงออกอัลบัมของเธอต่อไป Golden Apples of the Sun [EKL-222]. และประสบความสำเร็จด้วยดี
ในปี 1963 Jac เริ่มความคิดที่จะออกอัลบัม classical music ให้มีราคาถูกในระดับที่ผู้คนจะหาซื้อได้โดยง่าย เขาใช้เลเบลชื่อ Nonesuch เพื่อสื่อความหมายว่า "Quality Recordings at the Price of a Quality Paperback". แผ่น Nonesuch ภายใต้ Electra record ตั้งราคาขายแค่ $2.50 ครึ่งราคาของราคาขายแผ่น classical ทั่วไป ทำให้จำหน่ายได้ดี สร้างรายได้ให้แก่ Electra อย่างมั่นคง
ในปี 1966, Jac ได้ศิลปินวง the Doors เข้าในสังกัด ได้ออกอัลบัม"Light My Fire" ที่ติดอันดับ 1 ใน pop charts ปี 1967 กลายเป็นแผ่น single. แรกของ Electra ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจนกระทั่งในระยะเวลาต่อมาอีก 30 ปี อัลบัมของ the Doors ได้จำหน่ายไปถึงมากกว่า 45 ล้านแผ่น จากความสำเร็จนี้ Elektra ได้เปลี่ยนแนวดนตรีจาก Folk label มาเป็นเพลงแนว rock แทน และตัดสินใจสร้างสำนักงานที่ west coast พร้อมกับสร้าง Studio ระดับ state-of- the-art ที่ 962 North La Cienega Boulevard. Elektra แม้ว่าตะประสบความสำเร็จจาก the Doors, Judy Collins, Tim Buckley และวง Bread. แต่ธุรกิจแผ่นเสียงได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม Jac รู้ตัวดีว่าค่ายเพลงอิสระที่ไม่ใหญ่พอไม่สามารถที่จะยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เขาจึงมีความตั้งใจจะไปรวมตัวกับค่ายเพลงที่อยู่มายาวนานเช่น Columbia, RCA, Decca หรือ Capitol. แต่พอดีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1967, Warner Brothers ซื้อกิจการของ Atlantic Records, ซึ่งเกิดพร้อมๆกับ Elektra. Jac จึงเข้าเจรจาขายกิจการให้กับ Warner Brothers ในราคา 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และตัวเขาเองก็เกษียนตนเองในขณะอายุ 42 ปี ไปอยู่ที่ Hawaii.
ระหว่างช่วงปลายทศวรรษ '70s Elektra ได้เพิ่มศิลปินในสังกัด โดยประเภท pop ก็มี Neil Sedaka, Tony Orlando & Dawn, Sparks, the Cars ฯลฯ ประเภท country ก็มี Eddie Rabbitt และ Jerry Lee Lewis ฯลฯ ประเภท heavy rock ก็มีวง Queen และประเภท soul and funk ก็มี Patrice Rushen และ Donald Byrd. Elektra Records และ Asylum Records ได้รวมตัวกันในปี 1974. ทุกวันนี้ Elektra ยังคงดำเนินกิจการโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Time-Warner Communications
Elektra Album Discography
แผ่น 10 นิ้วยุคแรก (1951-1956)
ไม่เหมือนกับค่ายแผ่นเสียงอื่นที่ออกแผ่นเสียงยุคแรกๆช่วงต้นทศวรรษ 1950s, จะเป็นแผ่น 10” แต่ของ Electra แผ่นแรกกลับเป็นแผ่น 12” ออกในปี 1951. ส่วนแผ่น 10” มาออกเริ่มตั้งแต่แผ่นที่ 2
เลเบลในยุคแรกจะมีพื้นสีขาว ตัวพิมพ์สีเขียว หรือ สีน้ำเงิน โลโก้ของ Elektra เป็นตัวเขียนอยู่ในรูปวงรี มีข้อความ "Hi-Fidelity" อยู่ด้านซ้าย และ "Long Playing" อยู่ด้านขวาของโลโก้ รูปแบบโดยรวม ออกแบบให้ดูเหมือนรูป atom โดยมีอีเล็คตรอนอยู่รอบ และแผ่รังสีพลังงานออกมาจากใจกลาง เลเบลนี้ใช้มาจนถึงกลางทศวรรษ 1960 มีหมายเลขแผ่นเริ่มที่ EKLP-1 Series
EKL-100/EKS-7100 Series (1956-1971)
เลเบลยุคที่ 2 เริ่มใช้ในปี 1960 มีพื้นสีเทา ตัวพิมพ์สีดำ โลโก้เปลี่ยนใหม่เป็นรูปกราฟฟิคคนนั่งเล่นกีต้าอยู่ในพื้นวงกลมสีแดง โลโก้นี้อยู่ด้านบนข้างขวาของฉลากโดยมีเส้นเหมือนรังสีสีเหลืองพุ่งไปด้านบนและล่างทางขวาของโลโก้ มีข้อความตัวเขียนสีขาวว่า "The Sound of Quality" อยู่ด้านซ้ายมือของโลโก้ และด้านล่างสุดของฉลากมีข้อความสีขาวของ copyright statement
เลเบลรุ่นที่ 3 ใช้มาตั้งแต่ปี 1961 จนถึงต้นปี 1966 จะมีพื้นสีทองมีขอบรูปฟันปลาโดยรอบวงกลมของฉลาก รูปโลโก้สีขาวนักเล่นกีต้ามีขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ในตำแหน่งกลางเหนือรูแผ่นเสียง ด้านบนสุดของฉลากมีข้อความ "Outstanding High Fidelity Recordings." สีขาวโค้งตามขอบฉลาก
เลเบลรุ่นที่ 4 ใช้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1966 จนถึงสิ้นสุดของซีรี่นี้ (EKS-7100 Series) รูปโลโก้เปลี่ยนไปเป็นอักษร E รูปแบบไสตร์ block letter และมีข้อความ "elektra" อยู่ติดด้านล่าง โลโก้นี้อยู่ในตำแหน่งกลางเหนือรูแผ่นเสียง สีฉลากมีทั้งสีน้ำตาล(tan) หรือสีทอง (Gold) จนถึง silver-grey
ต่อมาปลายฤดูร้อนของปี 1969 เลเบลของ Elektra เปลี่ยนสีพื้นเป็นสีแดง แต่ยังคงรูปแบบเดิม ฉลากรุ่นนี้ใช้มาจนกระทั่งถึงปลายฤดูร้อนของปี 1970.
ในราวเดือนกันยายน ปี 1970 รูปแบบเลเบลได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง เป็นรูปแบบใหม่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง สีพื้นจะเป็น multicolor และมีรูปผีเสื้ออยู่ด้านขวาของรูแผ่นเสียงและติดกับโลโก้รูปแบบเดิมของ Electra
สำหรับแผ่นแจกเพื่อส่งเสริมการขาย Promotional copies จะมีพื้นสีขาวแทนโดยรูปแบบเหมืนเดิม
เริ่มตั้งแต่ต้นปี 1982 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รูปแบบเลเบลได้เปลี่ยนไปอีกโดยสิ้นเชิง มีพื้นสีดำ-แดง ตามรูป
บทความนี้ เป็นของ ลุงพง จากเว็บไทยแกรโมโฟน ไม่หวงห้ามในการส่งต่อแบ่งปัน เพียงกรุณาให้เครดิตต้นทาง ลุงพง และ เว็บไทยแกรมโมโฟน จักขอบคุณยิ่ง