เลเบลยุคแรกนี้เริ่มตั้งแต่เปิดตัว Red Seal LP ในปี 1950 จนถึงปี 1954. พื้นฉลากจะเป็นสีแดง maroon รูปโลโก้ Dog-Gramophone เป็นลายเส้นขอบ รหัสหมายเลขแผ่นนำหน้าด้วยอักษร LM เป็นระบบ mono เท่านั้น ใช้กับแผ่นชนิด Long Play Microgroove. แผ่นรุ่นแรกๆจะหนักและแข็ง รุ่นหลังจะเบากว่าและบิดงอได้เล็กน้อย
a. เริ่มปี 1950 ถึงราวปี 1951 เป็นเลเบลที่มีผิวฉลากมัน โลโก้ Dog-Gramophone เป็นลายเส้นขอบ ตัวพิมพ์สีทองหรือทองออกเงิน b. เริ่มจากปี 1951 ถึงปี 1954 เป็นเลเบลที่มีผิวฉลากด้าน โลโก้ Dog-Gramophone เป็นลายเส้นขอบ ตัวพิมพ์เป็นสีเงิน
อัลบัมแรกที่ออกในยุคนี้คือ:
Wagner, Richard.Siegfried: Act III, Scene III (1876). Eileen Farrell, soprano. Set Svanholm, tenor. Rochester Philharmonic. Erich Leinsdorf, conductor. RCA Victor Red Seal LM 1000 12″ (1950).
Dvôrák, Antonin.Husitská Overture, Op. 67 (1883). Smetana, Bedrich. The Moldau (1879). Boston Pops. Arthur Fiedler, conductor. RCA Victor Red Seal LM 1 10″ (1950).
a. เลเบลนี้มีข้อความ “NEW ORTHOPHONIC” HIGH FIDELITY พิมพ์อยู่ใต้ดลโก้ Dog-Gramophone ที่แสดงให้ทราบว่าเป็นการบันทึกเสียงด้วยระบบที่ให้คุณภาพดี
b. เลเบลนี้มีข้อความ HIGH FIDELITY พิมพ์อยู่ใต้โลโก้ Dog-Gramophone ที่แสดงให้ทราบว่าเป็นการบันทึกเสียงด้วยระบบที่ให้คุณภาพดี มักจะบันทึกการแสดงสดใน studio หรือแสดงสดจาก concert c. เลเบลนี้ไม่มีอะไรพิมพ์อยู่ใต้โลโก้ Dog-Gramophone เป็นการแสดงให้ทราบว่าเป็นการบันทึกใหม่มาจากรุ่นแผ่นครั้ง 78 RPM คุณภาพเสียงด้อยกว่าทั่วไป
หนึ่งในอัลบัมแรกๆที่ออกในยุคนี้คือ:
Strauss, Richard. Also sprach Zarathustra, Op. 30 (1896). Chicago Symphony. Fritz Reiner, conductor. RCA Victor Red Seal LM 1806 (1954).
Tchaikovsky, Peter Ilyich.Symphony No. 6 in B Minor, Op. 74 “Pathétique” (1893). Boston Symphony. Pierre Monteux, conductor. RCA Victor Red Seal LM/LSC 1901 (1958).
(In about 1962, recordings with the LD and LDS prefixes became Label No. 6.)
6. พอเริ่มจากปี 1962 คลอดจนถึงปลายปี 1968 พื้นฉลากจะเปลี่ยนเป็นสีแดงมะเขือเทศ โลโก้ Dog-Gramophone ได้ถูกยกเลิกไป ตัวพิมพ์เป็นสีเงิน รหัสหมายเลขแผ่นนำหน้าด้วยอักษร LD หรือ LDS น่าจะมาจากคำว่า Long Play Deluxe และ Long Play Deluxe Stereophonic. แผ่นในยุคนี้มีทั้ง monaural และ stereophonic.
สำหรับแผ่นในระบบ Mono นั้นในปี 1962 จะมีพิมพ์คำว่า LONG 33 1/3 PLAY ที่บริเวณกึ่งกลางด้านล่างของฉลาก
Bach, J.S. Trio Sonata No. 1 in E Flat Major, BWV 525. Trio Sonata No. 5 in C Major, BWV 529.Vivaldi, Antonio. Sonata for Lute and Continuo in C Minor, P.7 No. 2. Sonata for Lute and Continuo in C Major, P.7 No. 3. Julian Bream, lute. George Malcolm, harpsichord. RCA Victor Red Seal LSC 3100 (1969).
9. ต่อมาก็เป็นยุคเลเบลที่ใช้ตั้งแต่กลางปี 1976 จนถึงสิ้นสุดยุคของการผลิตแผ่นเสียง พื้นฉลากจะเป็นสีแดง มีโลโก้ Dog-Gramophone รูปสีเต็ม พิมพ์อยู่ชิดกับขอบฉลากในตำแหน่ง 1 นาฬิกา อักษร RCA ตัวขอบสีขาวพิมพ์อยู่ด้านบน และคำว่า Red Seal สีขาวพิมพ์อยู่ในแนวตั้งชิดกับขอบฉลากด้านซ้ายมือ ตัวพิมพ์นอกเหนือจากนั้นเป็นสีดำทั้งหมด รุ่นนี้เรียกว่า Side Dog.
อักษรตัวที่ตามมาจะเป็น serial number. ในที่นี้คือ 0808 เป็น serial number ของการบันทึกในหน้า 1 และ 0809 คือ serial number ที่บันทึกลงหน้าที่ 2
ตัวอย่างแผ่นยุคนี้เช่น:
Ravel, Maurice. Daphnis et Chloé (1912). New England Conservatory Chorus. Robert Shaw, director. Boston Symphony. Charles Munch, conductor. Leslie Chase, recording engineer. John Pfeiffer, record producer. RCA Victor Red Seal LSC 1893 (1960).
ตัวที่ 4 จะเป็นตัวแสดงว่าเป็น stereo หรือ mono ซึ่งตัวอักษร S แสดงว่าเป็นระบบ Stereo
อักษรตัวที่ตามมาจะเป็น serial number. ในที่นี้คือ 3305 เป็น serial number ของการบันทึกในหน้า 1 และ 3306 คือ serial number ที่บันทึกลงหน้าที่ 2
ตัวอย่างแผ่นยุคนี้เช่น:
Dello Joio, Norman. Fantasy and Variations. Ravel, Maurice. Concerto for Piano and Orchestra in G Major (193031). Lorin Hollander, piano. Boston Symphony. Erich Leinsdorf, conductor. Lewis Layton, recording engineer. Richard Mohr, record producer. RCA Victor Red Seal LSC 2667 (1963).
ตัวที่ 4 จะเป็นตัวเลขระบุจำนวนหน่วยที่บันทึก ซึ่งเลข 1 แสดงว่าเป็น single record
อักษรตัวที่ตามมาจะเป็น serial number. ในที่นี้คือ 0026A เป็น serial number ของการบันทึกในหน้า 1 และ 0026B คือ serial number ที่บันทึกลงหน้าที่ 2
ตัวอย่างแผ่นยุคนี้เช่น:
Bach, J.S. Fugue in E Flat Major, BWV 522. Fugue in D Major from BWV 532. Fugue in G Minor, BWV 542. Fugue in A Minor from BWV 543. Fugue in C Minor from BWV 549. Fugue in C Major from BWV 564. Fugue in G Minor, BWV 578.Philadelphia Orchestra. Eugene Ormandy, conductor. Paul Goodman, recording engineer. Max Wilcox, record producer. RCA Victor Red Seal ARD1 0026 (1973).
RCA แผนก Red Seal Division( แผนก classic) ว่าจ้างผู้ผลิตและวิศกรมากมายหลากหลายสไตร์ของแต่ละคน ฉะนั้นเพลง classic ของ RCA จึงแตกต่างกันในแต่ละยุคแต่ละเลเบล มีเป็นจำนวนมากเช่นกันที่ผลิตออกมาคุณภาพเสียงดีได้อย่างเด่นชัด หนึ่งในนั้นน่าจะมาจากทีมของ Richard Mohr (producer) และ recording engineer- Lewis Layton. ตัวอย่างอัลบัมที่เสียงดีเช่น Respighi, Ottorino.Fountains of Rome (1917). Pines of Rome (1924). Chicago Symphony. Fritz Reiner, conductor. Lewis Layton, recording engineer. Richard Mohr, record producer. RCA Victor Red Seal LSC 2436 (1960). Recorded on October 24, 1959, in Orchestra Hall, Chicago. and
Rimsky-Korsakov, Nikolai. Schéhérezade, Op. 35 (1888). Chicago Symphony. Fritz Reiner, conductor. Lewis Layton, recording engineer. Richard Mohr, record producer. RCA Victor Red Seal LSC 2446 (1960). Recorded on February 8, 1960, in Orchestra Hall, Chicago.
Offenbach, Jacques.Gaîté Parisienne (1938). Boston Pops. Arthur Fiedler, conductor. Leslie Chase, recording engineer. RCA Victor Red Seal LSC 1817 (1958). Recorded in June 1954 at Symphony Hall, Boston.
และ
Ravel, Maurice.Daphnis et Chloé (1912). New England Conservatory Chorus. Robert Shaw, director. Boston Symphony. Charles Munch, conductor. Leslie Chase, recording engineer. John Pfeiffer, record producer. RCA Victor Red Seal LSC 1893 (1960).
นักบันทึกเสียงชั้นแนวหน้าผู้หนึ่งชื่อ Kenneth E. Wilkinson ซึ่งสังกัดอยู่กับ Decca แห่งอังกฤษ งานของเขาบางชิ้นก็มาปรากฎบรแผ่นของ RCA ตัวอย่างที่ดีของแผ่นดหล่านี้คือ
Elgar, Edward. Enigma Variations, Op.36 (1899).Brahms, Johannes. Variations on a Theme by Haydn, Op. 56a (1873). London Symphony. Pierre Monteux, conductor. Kenneth E. Wilkinson, recording engineer. RCA Victor Red Seal LSC 2418 (1960). Recorded in Kingsway Hall, London.
และ
Sibelius, Jean. Symphony No. 2 in D Major, Op. 43 (1901). London Symphony. Pierre Monteux, conductor. James Walker, record producer. Kenneth E. Wilkinson, recording engineer. RCA Victor Red Seal LSC 2342 (1959). Recorded in Kingsway Hall, London.
แผ่นเสียง label ABC-Paramount กำเนิดมาจากการเริ่มของบริษัท Am-Par Record Corporation ที่ New York City ในปี 1955 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ American Broadcasting-Paramount Theaters, Inc. ประธานของบริษัทคือ Samuel Clark และมีผู้จัดการฝ่ายขายชื่อ Larry Newton หัวหน้าที่รับผิดชอบในการผลิตคือ Don Costa และ Sid Feller นอกจากเลเบลของ ABC-Paramount เองแล้ว ยังมีเลเบลในเครือย่อยอีก คือ Impulse ในต้นปี 1960 เป็นแนวเพลงแจ๊ซ พอมากลางปีก็มีเลเบลใช้สำหรับเพลงบลูส์ คือ Bluesway นอกจากนั้นยังสร้างเลเบล Probe สำหรับเพลงแนว psychedelic rock ในปี 1968 แต่อยู่ได้แค่ช่วงสั้น ๆ
ในเดือนตุลาคม ปี 1959 หัวหน้าวงออเคสตร้าชื่อ Enoch Light และหุ้นส่วนได้ขายเลเบลของตนเองให้กับ ABC-Paramount ซึ่งมีทั้ง Audition, Command Performance, Colortone, Grand Award และ Waldorf Music เนื่องจาก ABC-Paramount ก่อตัวขึ้นภายหลังของยุค rock and roll และชอบที่จะซื้อลิขสิทธิ์จากผู้ผลิตเพลงอิสระเป็นมาสเตอร์สำเร็จรูป รวมทั้งเข้าลงทุนซื้อค่ายแผ่นเสียงจากย่านหรือแหล่งเล็ก ๆ แล้วมาทำตลาดเป็นระดับประเทศ ฉะนั้นในปี 1966 ABC จึงซื้อ Dunhill label จาก Lou Adler และในปี 1973 ซื้อ Duke/Peacock labels จาก Don Robey นอกจากนั้น ABC-Paramount ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายของอีกหลาย labels เช่น Anchor, Blue Thumb, Chancellor, Colonial, Deb, Fargo, Hunt, LHI (บางส่วน), Royal, Shelter (บางส่วน), Sire (บางส่วน), Tangerine, Topsy, และ Wren
Don Costa เซ็นสัญญารับ Paul Anka เข้าในสังกัด ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 15 ปี เป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลงจากประเทศแคนาดา (เคยแต่งเพลงให้กับ Modern Records ชื่อ “I Confess”) สาเหตุที่ Paul มีโอกาสเข้ามาอยู่ในสังกัด เกิดขึ้นเมื่อเดือน กรกฎาคมของปี 1957 เมื่อเขาได้รางวัลมาเที่ยวที่เมือง New York และพักอยู่กับเพื่อนชาวแคนาดาชื่อ Rover Boys ซึ่งเพื่อนคนนี้ทำงานอยู่กับ ABC จึงแนะนำให้เขาไปพบ Don Costa เขาเล่นเพลงที่เขาเขียนขึ้นเกี่ยวกับแฟนของเขาที่อยู่ในแคนาดาชื่อ Diana ให้กับ Costa ฟัง และเพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงแรกของเขาที่บันทึกเป็นอัลบัม single ของ ABC- Paramount และกลายเป็นเพลงประจำของวัยรุ่นใช้ร้องกันมาตั้งแต่ฤดูร้อนของปี 1957 ติดชาร์ทเพลงอยู่ได้นานถึง 6 เดือน มีเนื้อร้องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มวัยรุ่นไปหลงรักสาวที่มีอายุมากกว่า Anka บันทึกเพลงที่เขาร้องซึ่งเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเองเกือบทั้งสิ้น รวมทั้ง “Put Your Head On My Shoulder”, “Lonely Boy”, “Puppy Love” และ “My Heart Sings,” และยังแต่งเพลงให้กับศิลปินอื่นเช่น Buddy Holly ในเพลง “It Doesn’t Matter Anymore” Paul Anka เป็นนักร้องที่โดนใจวัยรุ่นมาก เพลงเขาติดชาร์ทถึง 16 เพลง รวมทั้งอีก 10 อัลบัมในเลเบล ABC-Paramount จากนั้นเขาได้จาก ABC ไปอยู่กับ RCA Victor ในปี 1962 เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์จากนักร้องเพลงของวัยรุ่นมาเป็นนักร้องเพลงป๊อป Anka ยังคงแต่งเพลงให้แก่นักร้องอื่นต่อไป เพลงที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเพลง “My Way” ซึ่งแต่งให้กับ Frank Sinatra และเพลง “She’s a Lady” ให้กับ Tom Jones
ในปี 1957 ABC มุ่งความสนใจไปยังศิลปิน Rock&Roll อิสระ เข้าซื้อ master ของ Joe Bennett ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเองชื่อ “Black Slacks” บันทึกร่วมกับวง Sparkletones ของเขาเอง เพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังซื้อเพลง “At the Hop” ของ Danny and the Juniors จาก Singular Records และได้กลายเป็นเพลงฮิตอันดับหนึ่งของประเทศในปลายปี 1957 นี้เอง
Lloyd Price เป็นอีกผู้หนึ่งที่ ABC ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับซื้อลิขสิทธิ์เพลงที่เคยฮิตติดตลาดในปี 1952 ของเขา ชื่อเพลง “Lawdy Miss Clawdy” และจากความสำเร็จในตลาดเพลงป๊อปของ Price ได้สร้างความประทับใจให้กับ ABC-Paramount เป็นอย่างมาก (ได้สืบทราบมาว่าตัว Price เองก่อนหน้านี้เคยร่วมอยู่กับวง R&B singer) ทาง ABC จึงได้เสาะแสวงหานักร้องอื่นที่อยู่วงนี้ และก็ได้มาพบ Ray Charles ซึ่งขณะนั้นร้องให้กับสังกัด Atlantic Records
Ray Charles (เคยอยู่กับวง string ของ R&B เป็นเวลา 10 ปี) เพลงป๊อปเพลงแรกที่ฮิตเริ่มจากเพลง “What’d I Say,” ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 6 ในช่วงนี้เองสัญญาที่สังกัดกับ Atlantic ก็สิ้นสุดลง ในปี 1959 ABC-Paramount จึงได้โอกาศยื่นข้อเสนอที่เหนือกว่าบริษัทเล็ก ๆอย่าง Atlantic นี่หรือจะสู้ได้ รับ Charles เข้าในสังกัด และด้วยเงินทุนมหาศาลกอร์ปกับการตลาดที่ดีอยู่แล้ว จึงสามารถปั้นให้ Ray Charles กลายเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ มีเอกลัษณ์เฉพาะตัว เพลงแรกที่ฮิตติดต่อกันหลายครั้งจนกลายเป็นเพลงแบบอย่างคือ “Georgia On My Mind,” ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ pop hit และอัลบัมที่มีเพลง “Georgia on My Mind” [The Genius Hits the Road, ABC 355] รวมอยู่ด้วย ก็ขายดีเป็นอันดับหนึ่งในปี 1961 เพลงต่อมาที่ฮิตคือ “Hit the Road Jack,” นอกนั้นก็ยังออก album Modern Sounds in Country and Western Music [ABC 410] ในปี 1962 และ album “I Can’t Stop Loving You”ต่อมา ซึ่งก็ฮิตติดอันดับหนึ่งของต้นปี 1960 ในขณะที่ออกเพลงป๊อป Charles ยังได้ออกเพลงแนว Jazz ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงให้กับ ABC เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่สร้างยอดขายสูงสุดให้กับ ABC
ในปี 1959, ABC-Paramount เริ่มออกแผ่นเสียงที่ร้องโดย Cliff Richard ในอเมริกา 2 album (ABC 321 และ ABC 391) ถึงแม้ว่า Cliff จะเคยโด่งดังมากในเกาะอังกฤษ แต่ปรากฎว่าไม่ประสบความสำเร็จ (เพิ่งจะมาระยะหลังกลางปี 1970 ในสังกัดของ EMI ที่มีเพลงเข้าอันดับ I’m Nearly Famous) ในปี1961 ABC ได้ B.B. King มาอยู่ในสังกัด King เป็นผู้นำทางด้านกีต้าเพลงบลู เคยออกอัลบัมภายใต้สังกัด RPM ซึ่งเกี่ยวดองกับ Kent labels ตั้งต้นยุค ’50s. ABC ได้ทำการเปลี่ยนแปลงแนวเพลงเขาเล็กน้อย โดยให้เขาร้องนำด้านหน้า และมีวงออเคสตร้าวงใหญ่บรรเลงอยู่ด้านหลัง โดยมี Johnny Pate เป็นทั้งผู้ประพันธ์และโปรดิวเซอร์ ผลลัพท์ที่ออกมาคือเสียงที่เต็มอิ่มกว่าของเดิมที่บันทึกจาก RPM recordings แผ่น singles นี้ก็ขายได้อยู่ระหว่าง 5 หมื่นถึงหนึ่งแสนแผ่น Johnny Pate เลยเปลี่ยนแนวใหม่ ทำการบันทึกที่สนามหญ้าหน้าบ้านแทนเหมือนการแสดงสด อัลบัม “B.B. King Live at the Regal” [ABC 509] บันทึกสดที่ Chicago เมื่อ 21 พฤศจิกายน ปี 1964 กลายเป็นอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่เป็นแบบอย่าง ที่ศิลปินอังกฤษอย่าง Rolling Stones และ Eric Clapton เอ่ยว่ามีอิทธิพลต่องานเพลงเขาเป็นอย่างยิ่ง
ABC สร้างแบรนด์ใหม่ภายใต้เลเบล Bluesway ในปี 1966 รับศิลปินแนวบลูเข้ามาอยู่ในสังกัดมากมายรวมทั้ง Jimmy Reed, John Lee Hooker, Otis Spann, Joe Turner, Eddie “Cleanhead” Vinson, T-Bone Walker, Jimmy Rushing, Jimmy Witherspoon, Charles Brown, Roy Brown, และ Brownie McGhee & Sonny Terry และผลงานของ B.B. King ก็ใช้เลเบลของ Bluesway
ในปี 1975 ABC ทำสัญญาซื้อตัว Poco จากสังกัดเดิม Epic Records เข้ามาอยู่ในสังกัดตนเอง และได้ออกอัลบั้มแรกที่ยอดเยี่ยมมากคือ “Head Over Heels” [ABC 890] ตอนหลังได้ออกเพิ่มอีก 3 อัลบั้ม แต่ก็ไม่มีอัลบั้มใหนสู้อัลบั้มแรกได้เลย
สำหรับวงร๊อคที่ประสบความสำเร็จมากในยุค ’70 ของ ABC คือ Steely Dan (เป็นทั้งนักแต่งเพลงและนักดนตรี), Water Becker , Donald Fagen ,Denny Dias, Jeff Baxter, Jim Hodder และ David Palmer ในปี 1979, ABC Records ขายไปให้แก่ Music Corporation of America (MCA) และช่วงนี้เองก็เลิกใช้ชื่อเลเบล ABC เปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทแม่แทน เป็นเลเบล MCA อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงของ ABC ได้มีการทำซ้ำ(reissued)ใหม่ภายใต้เลเบล MCA
ABC-Paramount Album Discography
เลเบลแรกจะมีพื้นเป็นสีดำ ตัวพิมพ์สีเงิน ตำแหน่งด้านบนสุดของฉลากเป็นตัวอักษรสีขาวชื่อบริษัท “ABC-PARAMOUNT” ตำแหน่งล่างสุดของฉลากจะมีข้อความสีขาวเช่นกันดังนี้ “A PRODUCT OF AM-PAR RECORD CORP.” สำหรับอัลบั้มที่เป็นสเตอริโอก็จะมีข้อความ “STEREO” ตัวใหญ่สีเงินอยู่ทางด้านซ้ายของฉลาก
เลเบลรุ่นที่ 3 ใช้เมื่อชื่อบริษัทเปลี่ยนจาก ABC-Paramount ไปเป็น ABC พื้นฉลากสีดำตัวพิมพ์สีเงิน และมีโลโก้อยู่บนสุดของฉลากเป็นอักษรสีดำคำว่า ABC อยู่ในวงกลมสีขาว วางอยู่ในกรอบ 4 เหลี่ยมสีรุ้งอีกที และตำแหน่งด้านล่างสุดของฉลากมีคำว่า “ABC RECORDS INC., NEW YORK, N.Y. 10019 – MADE IN USA”
Recording Industry Association of America เปิดเผยผลสำรวจอุตสาหกรรมเพลงในสหรัฐอเมริกาช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ว่า ยอดขายแผ่นเสียงคิดเป็นมูลค่า 232.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนแผ่นซีดีคิดเป็นมูลค่า 129.9 ล้านดอลลาร์ ลดลง 48%